Sunday, December 21, 2008

อัตชีวประวัติในโลง


การเดินทางที่เริ่มต้นด้วยน้ำตา
และจบลงด้วยความเศร้าโศก

กับความเวิ้งว้างในหนทาง
เมื่อเวลาว่างงเป็นดั่งอสูรร้าย

ความหยุดนิ่งทำให้เราเป็นทุกข์
ทั้งที่ปากทางแห่งความหลุดพ้นอยู่ข้างๆ

ความพิศวงที่ไม่รู้
คือ การพิสูจน์ที่ไร้จุดจบ

การแสวงหาที่ไม่เคยค้นพบ
กับคำว่าชีวิตที่ยากจะเข้าใจ

ยิ่งใกล้ทำไมยิ่งไกล
เอาแต่รอเล็คเชอร์
จากอาจารย์จอมปิ้งแผ่นใส

ยิ่งใกล้ทำไมยิ่งไกล
เอาแต่รอเล็คเชอร์
จากอาจารย์จอมปิ้งแผ่นใส

นายชีวิต ความฝัน เป็นสามีของนางชีวา ความฝัน
บิดาของนายสมหวัง และสมใจ ความฝัน เกิดที่บางรักชาติ
เรียนประถมที่โรงเรียนเตรียมมัธยม เรียนมัธยมที่เตรียมอุดมศึกษา
เรียนอุดมศึกษาที่เตรียมทำงาน และทำงานที่บริษัทเตรียมเรียนนอก
นายชีวิตเป็นคนดี มีน้ำใจ เป็นที่รักของเพื่อนฝูง
เป็นพ่อที่ดีของภรรยาและลูกทั้งสอง
เป็นคนขยัน เคยได้รับรางวัลพนักงานดีเด่นสามปีซ้อน
หลังเกษียณชอบอ่านหนังสือและปลูกต้นไม้
นายชีวิตชอบเข้าวัดและทำบุญเป็นประจำ

ขอให้ทุกท่านยืนแสงดความเคารพแก่นายชีวิต สัก ๑ นาที

นับจากนี้
เพียงรอยจารึกบนสุสาน ตำนานเล่าขานขี้ปากแห่งผู้คน
อนุสาวรีย์ มรดก เศษผงและรูปถ่ายบนหิ้งริมผนัง
คืนวันแห่งอดีตจบแล้ว ฉับพลัน
อัตชีวประวัติยาวสั้น ใครเขียนมันขึ้นมา
ชีวิตที่เราเป็นคอนดักเทอร์
หรือเป็นเพียงเลคเชอร์
จากอาจารย์จอมปิ้งแผ่นใส

ชีวิตที่เราเป็นคอนดักเทอร์
หรือเป็นเพียงเลคเชอร์
จากอาจารย์จอมปิ้งแผ่นใส

Tuesday, December 16, 2008

รู้ทัน


ตื่นหกโมงครึ่ง

...

ตื่นเจ็ดโมงสิบ

...

ตื่นแปดโมง

...

ทำไมไม่ยอมลุกนะ

หงุดหงิดแล้ว

ไดอารี่

วันจันทร์ที่ผ่านมามีโอกาสไปร่วมงานรพีเสวนา ที่หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย งานนี้จัดเป็นครั้งแรก โดยอยู่ในหัวข้อเรื่อง”การเรียนรู้เพื่อความเป็นไท” โดยมีครูอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิมากมาย โรงเรียนในเครือข่ายโรงเรียนไทยไท รวมทั้งพี่ๆเพื่อนๆน้องๆที่รู้จักกันเดินกันไปมาเต็มงานไปหมด จะว่าเป็นหน้าเดิมๆก็ใช่อยู่
ความรู้สึกที่ได้มานั้นมีคุณค่ามาก ช่วยเติมพลังให้กับจิตใจ รู้สึกว่าประเทศไทยยังมีหวังจากคนดีๆที่ทำเรื่องเล็กๆตามมุมต่างๆ อาจเรียกได้ว่าปิดทองหลังพระ หรือใต้ฐานพระก็ได้ บุคคลที่มองเห็นคุณค่าของการศึกษาและเยาวชนย่อมเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ มองเห็นอนาคตในปัจจุบัน เพราะเด็กหาใช่อนาคต แต่เป็นปัจจุบันที่เปี่ยมด้วยพลังความดี การศึกษาเป็นรากฐานของการพัฒนาในทุกๆระดับและรอบด้าน การศึกษาทางเลือ(ที่ควรจะเป็นทางหลัก) จะนำปัญญาที่กลั่นกรองเข้าทดแทนความรู้ที่มากจนเกินไป ในโลกนี้ ซึ่งจะนำพาไปสู่การเข้าใจชีวิตที่แท้จริง
คุณครูท่านหนึ่งพูดว่า”รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากๆที่ได้เป็นครู เพราะเป็นอาชีพที่ทำแล้วมีความสุข เป็นอาชีพที่มีคนจ้างให้เราเรียนรู้และพัฒนาตลอดเวลา“ ผมมีความสุขทันทีเมื่อเห็นใบหน้าเปี่ยมยิ้มของคุณครู
การเสวนาที่ส่วนมากจะทำให้ผมง่วงนอนแต่วันนี้กลับตื่นเกือบตลอด(มีหลุดบ้างหลังกินข้าว) ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ความเข้มข้นของเนื้อหาในงาน
ภายนอกยังมีซุ้มของโรงเรียนต่างๆให้เด็กพาเข้าไปเล่น หรือนำเสนองานต่างๆ และเป็นเด็กที่น่ารักๆทั้งนั้น ที่สำคัญพรีเซนเก่งมากด้วย๕๕๕
สุดท้ายวันนี้ก็ได้เจอเพื่อนผองที่เรียนอยู่ที่อาศรมศิลป์ คุ้ง น้ำ ชาย สองคนหลังนี่ไม่ได้เจอนานมาก ทำให้ดีใจไม่ใช่น้อย มองดูเพื่อนกำลังก้าวไปในหนทางของตนๆ เราเองก็จะพยายามเช่นกัน

เย็นวันอังคาร ก็มีนัดไปนั่งคุยกับพี่ภิญโญ ที่โอเพ่น รู้สึกเหลือเกินว่าอารมณ์ความรู้สึกเหมือนเมื่อวานคือ มีแรงบันดาลใจและความหวังมากยิ่งขึ้น โปรเจคต่างๆดูจะเป็นรูปเป็นร่างเมื่อมีผู้ใหญ่คอย ใส่ความคิดคมๆ ด้วยประสบการณ์ที่เคี่ยวกรำมาแล้วอย่างดี นั่งจิบชาจอกแล้วจอกเล่าที่พี่เล่นเติมไม่ยั้ง ทำให้การสนทนาไม่ติดขัดและไหลลื่น เวลาหมดไป หนังสือเริ่มตั้งข้างหน้าผมเล่มหนึ่ง ผมก็ยื่นหนังสือธรรมะที่ทำกับณขวัญสวนไปได้เล่มหนึ่ง แต่พี่ก็ยิงไม่ยั้ง สุดท้ายได้หนังสือกลับไปอ่านฟรีสามเล่มใหญ่ พอเสร็จเรื่องคุย ต้องขอกลับก่อนเพราะถ้านั่งต่อไปหนังสืออาจหมดสำนักก็เป็นได้ เจอกันใหม่อีกทีปีหน้าฟ้าใหม่
อะไรก็คงจะดีขึ้น ปีใหม่ที่จะถึงขอให้ความหวังและแรงบันดาลใจได้มีโอกาสแทรกเข้าสู่กระแสใจของทุกๆคน ให้มากเท่าที่จะมากได้

๑๗ ธ.ค. ๕๑

Tuesday, December 02, 2008

เย็นอากาศ


กังหันเดียวดาย
ยังคงหมุนไป
เย็นที่ฟ้าครื้มฝน
ความหวังดำรง
น้ำคงสะอาดสักวัน

ชีวิต แล่นไป
หายใจ ไม่รู้
โลกหมุน ไม่รู้
คิดไป ไม่รู้
ไม้ไหว ไม่รู้
ไม่รู้ก็ไม่รู้
รู้ก็ไม่รู้

ชีวีหยุดไหล
หายใจ ก็รู้
โลกหมุน ก็รู้
คิดไป ก้รู้
ไม้ไหว ก็รู้
ไม่รู้ก็รู้
รู้ก็รู้

น้ำกลิ้งบนบัว
หลิวเรียงริมบ่อ
สยายม่านใบสลวย
ยอดไม้โคลงเคลง
เมฆเคลื่อนไปทางซ้าย
อย่างเชื่องช้า
ทุกสิ่งในคลื่นน้ำ
ยิ่งไหว ยิ่งไหว

เดินต้านลมหนาว
สัมผัสยอดหญ้า
เย็นน้ำยอดใบ

ใบไม้ทิ้งใบ ไวผ้าแห้ง
แสงตัดหมอกเช้า นอนซุกผ้าห่ม
ลมเปลี่ยนทิศ ชีวิตเปลี่ยนผัน
ฉันไม่เปลี่ยนแปร

ค่ำหลังฝน
สองมือยันแก้ม
อุ่นดีจัง

๒๒ ตุลา ๕๑

ทำบัตรประชาชน


ต้องคดีอาญา
เป็นผู้ต้องหา
ทำความผิดฐาน
ไม่ม่บัตรใหม่ภายในกำหนด
๓ ธ.ค. ๕๑

เย็นนั้นเย็น



เย็นนั้นเย็นแล้ว
เย็นนี้เย็นดี
เย็นหน้ายังมี
เย็นมีเย็นใจ

เย็นไพรเย็นฉ่ำ
เย็นไหลเย็นน้ำ
เย็นเนื้อเย็นนาง
เย็นเยือกเย็นไป

เย็นนอกเย็นใน
เย็นไม่เย็นชา
เย็นหูเย็นตา
เย็นจิตเย็นใจ

เย็นมาเย็นคง
เย็นมาเย็นไป
เย็นเปลี่ยนแปรไป
เย็นใจเย็นนาน

๕๑ ตุลา ๑๘

ขู่ไล่


เขมรขู่ไทย
รัฐขู่ประชาชน
ประชาชนขู่ ตร.
หมาก็ขู่กัน

ตร.ไล่ประชาชน
ประชาชนไล่รัฐ
เขมรไล่ควาย
อย่างน้อย

อย่าเป็นควายให้เขาไล่

หมาถูกรถชนริมทางเดิน


วันแรกเธอตายอยู่ริมเสา
ฉันร้อนใจ
วันสองเธอเริ่มเน่า หนอนไต่
กรวดน้ำแผ่ส่วนกุศล
ฉันสบายใจ
วันสามเธอถูกฝังด้วยฟางข้าวริมทาง
ฉันผ่อนคลาย
๕๑ ตุลา ๑๐

ตุลาดำ


ความวุ่นวายโกลาหล เกิดขึ้นที่กลางเมือง
รัฐะชั่วช้าร่ายรำศาสตรา
ชาวประชา น้ำตานอง แต่ใจผยอง
แทบทั้งชาตินั่งนอน ดูละคร ฟังเพลง
ปล่อยให้ชะตา วาสนาละเลงลั่น
นั่งรอ นอนรอ วันตาย ด้วยพิษมะเร็งร้าย
อนิจจาๆ
ภูมิคุ้มกันแข็งแรงยิ่ง พยายามยิ่ง
แต่ชัยชนะต้องอยู่ที่ร่างกาย
หาใช้ภูมิคุ้มกันหรือมะเร็ง
อนิจจาๆ
ตัวอยู่ตรงนี้ สงบยิ่งนัก รมณียัง รมณียัง
แต่ใจสั่นท้ามด้วยเสียงครวญคร่ำ
อย่าให้มีแย่ไปกว่านี้เลย

ต้นไม้ปลูกโดยคนกลุ่มหนึ่งแล้วจากไป
หมดไป สิ้นไป สิ้นใจ
ปล่อยทิ้งร้าง
จอมปลวก เพลี้ย กาฝาก คราคร่ำ
พื้นดินร้าวระแหง
ไร้น้ำชุบชูใจ
ต้นไม้เอ๋ย เจ้าต้องหลั่งน้ำตา ที่ละหยด หยาด
เพื่อรดราด รั้งตัวให้ยงยืน
คร่ำครวญ สั่นท้ามถึงใจ
เสียงใบเสียดซ่านเสียง

ไม่ใช่ที่ของฉัน ฉันยังไม่พร้อม
ไม่ใช่บ้านของฉัน ฉันยังไม่พร้อม
๕๑ ก.ย. ๘

ตุลาดำ

โซ้ยซิ่ม
เช้านี้เตรียมไปเยี่ยม
ตกเย็นกลายเป็นสวด
อีกสี่วันเผา
ชีวิตเขา เราไม่ต่าง
..................
ตำรวจปราบหนัก
ดุจมารถือมีดห้ำหั่น
ขาขาด แขนขาด เลือดสาด
หญิงสาวพลีชีวีสังเวยระเบิด
รูปในกรอบ อยู่ในมือคู่หมั้น
เธอสวมชุดครุย ใบหน้าเปื้อนยิ้ม
เธอผู้น่ารัก เธอผู้เป็นความหวัง
แต่เธอจากไปแล้ว
แต่เธอจากไปแล้ว
แต่เธอจากไปแล้ว
สะเทือนในใจ
คร่ำครือในจิต
ญาติมิตรแห่เยี่ยมเยียน
เมื่อวานยืนในชุมนุมชนคาคับ
วันนี้เหยียดกายในกล่องไม้
แดดายแคบคั่น
สวรรค์จะกว้างกว่านี้ สบายกว่านี้
และสมควรแด่เธอ....กว่านี้
“อังคณา” เธอจากไปแล้ว
“อังคณา “เธอจากไปแล้ว
“อังคณา” เธอจากไปแล้ว

ชีวิตเขา เราไม่ต่าง
..............
ตุลาดำ

ทั้งที่รู้ก็ยังคิด

คิดถึง คิดถึง
คิดถึงอดีต ทั้งดีและโศก
คิดถึง คิดถึง
คิดถึงอนาคต ทั้งสุขและเศร้า
ชีวิตมีแต่ทุกข์และการแสวงหา
เรื่อยไปอย่างนี้หรือ เหมือนไร้ขอบเขต
รู้อยู่ รู้อยู่
รู้อยู่อย่างนี้ก็ยังอยาก
รุ้อยู่ รู้อยู่
รู้ว่าข้างหน้านั้น ไม่ง่ายเลย

ความรู้และจินตนาการ


ใช้เวลาในการกิน การนอน
ให้น้อย แต่พอดี
ที่เหลือทั้งหมด
เพื่อจินตนาการและความรู้

จินตนาการสำคัญกว่าความรู้
แต่เมื่อใดความรู้สุกปลั่ง
จินตนาการจึงมี
................
จงอย่าอยากเป็นคนนั้น คนนี้
สิ่งเดียวที่เราทำได้
คือ เป็นตัวเอง อย่างสูงสุดเท่านั้น
๕๑ ก.ย. ๑๙

ถึง

เดินรวดเดียวก็ถึง
เดินๆพักๆก็ถึง
สำคัญที่ยังเดิน
และฉลาดรู้ว่า
เมื่อใดควรเป็นกระต่าย
เมื่อใดควรเป็นเต่า

การปราศจากที่มา

ปราศจากที่มา
การเหินห่างจากต้นกำเนิด
ความมืดบอกของที่มา
ความสะบั้นซึ่งต้นสาย ปัจจัย
ย่อมทำให้ใจเรากระด้าง
อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

๕๑ ก.ย. ๑๘
เมื่อใดเราได้สัมผัสความงามอย่างแท้จริง
เมื่อนั้น โดยไม่รู้ตัว
เราก็ได้เป็นความงามนั้นเสียแล้ว
...............
อย่าพยายามค้นหาความงาม
แต่จงเป็น
...............
ปราศจากที่มา
การเหินห่างจากต้นกำเนิด
ความมืดบอกของที่มา
ความสะบั้นซึ่งต้นสาย ปัจจัย
ย่อมทำให้ใจเรากระด้าง
อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
๕๑ ก.ย. ๑๘

วันเกิดครบ ๒๕

ตลอดชีวิตนี้
มีปีที่ 25
แต่ในวัด
..............
ถ้าชีวิตคนหมดความหวัง
ย่อมยากที่จะก้าวเดิน
แม้ความหวังเล็กน้อย
ก็ควรทะนุถนอมไว้
..............

วันเกิดกำลังจะผ่านไป
ในคืนไร้จันทร์
นับฝนพรมกาย
...........

พรวันเกิด
ขอให้ชีวิตนี้
ได้ตอบแทนพระคุณ
แด่ทุกๆสิ่ง อย่างที่สุด
มีสุขภาพเอื้อเฝื้อ
มีความมั่นคงแลงดงามแห่งใจ
มีความเข้าใจในสรรพสิ่ง
เพิ่มขึ้นและลึกซึ้งขึ้นตลอดเวลา
ในเขตแดนแห่งความเข้าใจตน
และพอใจในตนด้วย
................


๕๑ ก.ย. ๑๗
"ขอให้เราทำ เท่าที่เราทำได้"
ชายชราโรงสีลมกล่าวแก่ลุงฟู


“อาจเป็นไปได้ว่าในยุคต่อไป จะไม่มี ใครอยากเชื่อว่า
บุคคลเช่นนี้เคยมีอยู่บนโลกนี้”

ไอน์สไตน์ถึงคานธี


กลับไปไม่กลับมา

ทรายจมเป็นรอยเท้า
ไปกลับไม่ซ้อนทับ
เช้าออกกรรมฐาน

เช้ากวาดแล้ว
เย็นก็กวาดอีก
เสียงเพลงไม้ไผ่
เสียงกวาดครืดคราด

สะอาดก็สะอาด
สกปรกก็สกปรก
กวาดไปกวาดมา
สกปรกก็สะอาด
สะอาดก็สกปรก

ไม่มีอะไร


มองจากบนฟ้า ที่ใกลแสนไกล
ค่อยๆลอยออกไป จากพื้นดิน
เรายังคงเป็นเรา เท่าๆกับที่คุ้นชิน


สูงขึ้นไปอีกนิด เริ่มมองเห็นเราเล็กลง
ค่อยๆเปลี่ยนเป็นจุด จากที่เห็นเป็นคน
แล้วก้อนกลมสีฟ้าขาว ก็ปรากฏในบัดดล

ไกลออกไป ยิ่งไกลออกไป
ไม่มีอะไร ไม่มีความหมาย แห่งคุณค่าความเป็นเรา
โลกอันยิ่งใหญ่ก็เพียงแสงเงา ของฝุ่นฝอยคละเคล้าในจักรวาล

เราแสนยิ่งใหญ่ ผยองว่ายิ่งใหญ่
ที่แท้เพียงธุลีเถ้า ในเถาฝุ่น

มองใกล้เข้าไป จากตัวของเรา
ค่อยๆมองเข้าไป จากผิวกาย
เรายังคงเป็นเราเท่าๆกับที่คุ้นชิน

ลึกลงไปอีกนิด ไม่รู้ว่าคืออะไร
ที่นี่ไม่มีเส้นแบ่ง ข้างนอกข้างใน
มีเพียงที่ว่างกว้างใหญ่ สีแดงฉานตระการตา

ลึกลงไป และยิ่งลึกลงไป
ไม่มีอะไร ไม่มีความหมาย แห่งคุณค่าความเป็นเรา
ตัวตนอันยิ่งใหญ่ก็เพียงแสงเงา ของฝุ่นฝอยคละเคล้าในจักรวาล


๑๙ พ.ย. ๕๑

ขอแค่เป็นฉัน

ถ้าฉันเป็นทางเดิน ขอเป็นทางที่นำเธอไป
ไม่ต้องกว้างขวางยิ่งใหญ่ แต่ปลอดภัยสวัสดี

ถ้าฉันเป็นเรือ ขอเป็นเรือน้อยแรงพาย
ไม่มีเครื่องยนตร์พ่วงท้าย จุดหมายเชื่องช้าแต่แช่มชื่น

ถ้าฉันเป็นดวงดาว ขอเป็นเพียงแสงเล็กๆบนฟากฟ้า
จุดความสว่างให้นภา ไม่ต้องเจิดจ้าดั่งแสงจันทร์

ถ้าฉันเป็นดอกไม้ ขอเป็นดอกหนึ่งในแจกัน
ไม่หวังประชันแข่งขัน เพียงส่งกลิ่นเติมฝันให้เธอ

ถ้าให้ฉันขอเพียงสักอย่าง
คงไม่มากมายซักเท่าไร
ให้ได้เป็นฉันอย่างนี้ต่อไป
แต่เป็นไปอย่างดีที่สุด เท่านั้นเอง

ฉัน ไม่วาดหวังความยิ่งใหญ่ ฉัน ไม่วาดหวังจะโด่งดัง
ฉัน เพียงยินดีทำงานอยู่ข้างหลัง เพื่อเชิดชูความหวังให้ผองชน