Thursday, December 28, 2006
น้ำตาหน้าหนาว
เมื่อกระดิ่งเจี้อยแจ้ว ม่านเริงระบำ
ตะวันขี้เซา เสื้อหนาวในตู้
ลมหนาวแวะมาเยี่ยมผมอีกครั้งแล้ว
ทุกปีเมื่อใกล้ถึงหน้าหนาว
เราสองคน ผมและเธอจะมีกิจกรรมอยู่อย่างหนึ่งที่ร่วมกันทำ
นั่นคือ “การถักไหมพรม” สำหรับหน้าหนาวที่ใกล้เข้ามา
ที่เรียกว่าร่วมกันทำ เพราะผมมีส่วนไม่น้อยในการ”ช่วย”นอนบนตักเธอ
ขณะเธอกำลังจดจ่อกับการสอดด้าย วงแล้ว วงเล่า บ่อยครั้งที่ผมเพลินจนหลับ
จังหวะการถักของเธอดูจะเรียกว่ามืออาชีพก็คงไม่อายปาก
ผมเฝ้ามองก้อนไหมพรมค่อยๆฟักตัวกลายเป็นสิ่งใหม่
แม้เธอเป็นเด็กสาวตัวเล็กๆที่ไม่มีพลังยิ่งใหญ่
แต่เธอเป็นผู้เปลี่ยนก้อนไหมให้กลายเป็นหมวก ถุงมือ เสื้อหนาว ผ้าพันคอ
เป็นทุกอย่างสำหรับหน้าหนาวที่จะมาถึง
“แม่ๆๆๆ” เจ้าหมวก ถุงมือ ผ้าพันคอ ร้องระงม
ผมเอง ไม่ได้ยินคำว่า พ่อ หรืออะไรเทือกนั้น
แหม น่าน้อยใจไหม
ทุกหน้าหนาว กลับอบอุ่นเสมอ
และปีนี้เธอเองก็คงนึกในใจแล้วล่ะว่าจะถักเป็นอะไรดี
เราตัดสินใจว่าปีนี้เราจะถักแบบไหมลายใหม่ และสีสันที่ไม่เคยมีมาก่อน
แต่มีข้อแม้ว่าผมต้องช่วยกันเลือกไหมส่วนเธอจะเป็นฝ่ายถัก
“ห้ามอู้ ”เธอย้ำ
ผมบรรจงเลือกไหมและเราก็จะเริ่มทำตั้งแต่วันนั้น
ผมรู้สึกมีส่วยร่วมกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา แต่สิ่งที่ไม่เหมือนครั้งก่อนเลย
คือ ผมเห็นเธอถักทอมันด้วยมือ
ผมแปลกใจยิ่ง เมื่อก้อนไหมพรมเหล่านั้นก็ลดลงอย่างที่เคยเป็น
แม้ว่ามันจะไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสิ่งใหม่ปรากฎออกมา
ผมถามเธอหลายต่อหลายครั้ง
ว่าคอเลคชั่นใหม่ที่เธอว่ามันจะเป็นอย่างไร
“ขออุบไว้ก่อน” เธอตอบ
ไม่กี่เดือนหลังจากวันนั้น เห็นสิ่งใหม่ที่เธอมอบให้ผม
แน่นอนเธอเป็นเด็กสาวตัวเล็กๆที่ไม่มีพลังยิ่งใหญ่
แต่เธอเป็นผู้สร้างสิ่งใหม่ที่แสนอบอุ่น อบอุ่นยิ่งกว่า หมวก ถุงมือ เสื้อหนาว ผ้าพันคอ
หรือใดๆที่เคยถักมา
ปีนี้เธอถักสิ่งที่แสนอบอุ่น
เป็นทุกอย่างสำหรับหน้าหนาวที่จะมาถึง
“แม่ๆๆๆ” เจ้าหมวก ถุงมือ ผ้าพันคอ ร้องระงม
ผมเอง ไม่ได้ยินคำว่า พ่อ หรืออะไรเทือกนั้น
เสียงแผ่วเบาลอยมาจากข้างกองไหมพรม
ผมผละจากตักเธอเดินดุ่มไปดูใกล้ๆ
“ปาป๊า”เสียงน้อยลอยอ้อยอิ่ง
น้ำตาหน้าหนาวกลั่นตัวแทบจะทันที
...น่าดีใจไหม
และเหมือนทุกครั้ง
ทุกหน้าหนาว กลับอบอุ่นเสมอ
ฤดูกาลก็คือเรา
เราก็คือฤดูกาล
ฉันใดก็ฉันนั้น
Thursday, November 09, 2006
ค่ายห้องสมุดดิน
Tuesday, November 07, 2006
สิ่งมีชีวิต
บันทึกเรื่องราวการออกค่ายอาสาสร้างห้องสมุดดิน กลุ่มรักษ์เขาชะเมา
วันนี้ฉันตื่นขึ้นด้วยอารมณ์ที่แจ่มใส แม้ผิวกายจะเริ่มแห้งกร้านเพราะแรงแห่งลมหนาว แจ่มใสเพราะอะไรน่ะหรือ เพราะวันนี้เป็นวันเริ่มค่ายห้องสมุดดินอีกครั้ง ฉันรอคอยวันนี้ วันที่ทุกคนจะกลับมาหลังจากที่ค่ายห้องสมุดดินคราก่อนได้ทำอิฐ ก่อผนังไปแล้วบางส่วน คราวนี้จะสูงขึ้นอีกเท่าไรกัน จะมากกว่าคราวที่แล้วมั๊ยน้อ
บ้านดินที่เสร็จเรียบร้อยไปแล้วหลังหนึ่งนั้นตั้งงามเด่นอยู่ฝั่งซ้ายของทางเข้า เบียดบังเจ้าลีลาวดีและหูกวางวัยละอ่อนต้นนั้นให้เอียงอาย อีกฝั่งหนึ่งเป็นบ่อน้ำที่เต็มไปด้วยต้นหญ้าชูชันขยันกันพ้นน้ำ ดูเผินๆเหมือนเป็นผืนดิน ใครเดินไม่ดี ก็จะมีคนตกน้ำให้ดูละทีนี้
บ่อน้ำ บ้านดิน เราเป็นญาติกันอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะดินที่รังสรรค์สถาปัตยกรรมชิ้นเอกนั้นก็ไม่ได้ขนถ่ายมาจากแห่งหนใด หากแต่ถูกตัก ถูกคลุกเคล้า จากดินที่เคยถมเต็มบ่อนั้นเอง เมื่อดินเหล่านั้นได้ห่มคลุมปกป้องผู้คน เจ้าบ้อก็กลายเป็นบ้านหลังน้อยๆให้เจ้าปลาชนิดต่างๆได้อาศัย
ไม่ว่าจะต้นไม้ ใบหญ้า เหล่าปลา หรือสัตว์โลกย่อมอาศัยดินเป็นเสมือนบ้าน ที่คอยค้ำชูและเป็นที่พัก
อย่างเขาว่ากัน ไม่มีที่ใดสุขเท่าที่บ้าน(ดิน)
แว่วเสียงเครื่องยนต์ ไม่นานนัก รถตู้ รถกระบะ เริ่มทยอยเข้าสู่ลานกลางของกลุ่มรักษ์เขาชะเมา ทำให้ลานกว้างดูแน่นขนัดไปทันตา ไม่นานนักเหล่าคนใจดีก็เดินออกมายืดเส้นยืดสายและพักผ่อนให้หายเหนื่อย น้ำฝางใส่น้ำแข็งและขนมสอดใส่อีกนั่นที่ปลิดเอาความง่วง หาว หนาว เหนื่อย ออกไปสิ้น
เหล่าอาสาและเหล่าสมาชิกรักษ์เขาชะเมารวมตัวกันในบ้านดินหลังนั้น เพื่อทำความรู้จักซึ่งกันและกัน ชื่อ และสถาบันคงเป็นสิ่งที่หล่อหลอมภาพลักษณ์ของกันและกันได้เร็วที่สุด บางครั้งก็เป็นทางลัดให้เข้าใจกันแต่ก็มีบางทีเป็นเกราะ เพราะภาพลักษณ์ที่ห่มไว้ไม่ต้องใจกัน
แต่ไม่สำคัญสักนิด ถ้าเราทิ้งตัวตนแล้วมุ่งสู่จุดหมายเดียวกัน
บ่ายวันนั้นชาวอาสาเริ่มเรียงรายเข้าสู่ ลานห้องสมุดดิน หลุมจากค่ายก่อนที่ฉ่ำน้ำราวตาตุ่มถูกวิดออก เพื่อใช้งานต่อ เริ่มจากการใช้ชายแรงดีพร้อมจอบเสียม ช่วยกันตัด ขุด เฉาะ เอาดินรอบๆลงมากองรวมไว้ที่กลางบ่อ ดินที่อยู่ใต้พื้นจะจับตัวกันแน่นเหนียวเป็นพิเศษ ยิ่งดินร่วนละเอียดเท่าไรขั้นตอนต่อไปคือ การย่ำก็จะทำได้ง่ายขึ้น
เมื่อดินเริ่มทับถมจมรวมได้ที่ เหล่าอาสาก็ได้เวลาประชุมตีน น้ำช่วยหล่อลื่นและแทรกซึมให้ดินแตกตัวออกจากกัน ใส่พอให้เหยียบแล้วนุ่ม เย็นเท้า อย่าให้มากเกินไปเชียว เพราะถ้าดินเหลวเกิน ไม่จับตัว จะแก้กันก็ต้องตักดินมาเพิ่มแล้วเริ่มใหม่ เหนื่อยกันอีกที
เจ้าใส้เดือนเพื่อนฉัน ใส้เดือนที่มีหน้าที่ไชดินให้ร่วนซุย เพื่อรากไม้ได้เหยียดเท้าหยั่งลึก บัดนี้มันได้ถูกเหยียบถูกย่ำ ถูกตัด บนกองดินนั่น แต่ฉันรู้เหลือเกินว่ามันเต็มใจที่จะตาย เพื่อประโยชน์ที่มากกว่านั้น เจ้าใส้เดือนอยากเห็นบ้านดิน อยากเห็นเด็กน้อยมีการศึกษา เธอยิ้มให้ฉันในวินาทีสุดท้ายและรู้ฉันไม่ได้คิดไปเอง สีแดงจากใส้เดือนเมื่อถูกย่ำเหยียบ ไม่นานซากและคราบเลือดก็กลืนไปกับดินจนแยกมิออก ไม่ต่างจากสรรพชีวิตที่ร่วมหัวจมท้ายในบ่อนี้
แกลบเป็นส่วนผสมอีกส่วนเพื่อให้ดินจับตัวแข็งแรงและน้ำหนักเบา เปรียบเหทียบก็เหมือน ที่จับที่ยึดให้เหล่ามูลดิน การผสมก็ผสมให้เหนียวกว่าคราวแรกที่เป็นดินล้วนๆ เมื่อเหยียบดินกับแกลบพอเป็นเนื้อเดียวแล้ว วัดโดยการเหยียบเป็นรอยดู ถ้าไม่คืนรูป ทิ้งตัวลงมาหรือติดเท้าเป็นก้อนก็เป็นอันใช้ได้ ดินถูกลำเลียงใส่ถังนำไปยึดดินก้อนที่ตากแห้งแล้วเพื่อก่อเป็นอิฐ ยึดดินกับดิน และนำไปเข้าบล็อคไม้เพื่อทำเป็นอิฐ ต่อไป
ไม่เพียงแต่แกลบ ดินน้ำ เท่านั้นที่เป็นส่วนผสม สำหรับดินก้อนที่ดีมีประสิทธิภาพ แต่เหงื่อจะความเหน็ดเหนื่อย เวลาที่ใช้ร่วมกัน รอยยิ้มที่ร่วงโปรยผนวกกับเสียงหัวเราะ นั้นต่างหากที่ทำให้ดินเป็นดิน ทำให้ดินเป็นเพื่อน ทำให้ดินมีชีวิต เฉกเช่นเดียวกับปู่ ย่า ตา ทวด พี่ น้อง เครือญาติและเพื่อนของฉัน ที่ถูกชุบชีวิตและกระจัดกระจายไปทำหน้าที่อยู่ตามก้อนอิฐ ดินฉาบ ที่บ้านดินหลังนั้นและห้องสมุดที่กำลังก่อขึ้น
ฉันได้เพียงเฝ้ามองดูสองมือ สองเท้านั้นแสนมหัศจรรย์ การเกิดมาเป็นคนนี่ดีนักแล จะทำสิ่งใดก็ทำสำเร็จได้โดยง่าย ไม่ว่างานจะยากซักแค่ไหน เธอจะรู้ไหมว่าฉัน แดดที่พาดผ่าน ลมที่พัดพริ้ว พืชพรรณไพร แม้กระทั่งจิ้งจกและหมาตัวนั้น ต่างแอบเฝ้ามองดูพวกเธอ คอยให้ความสนับสนุนอยู่ห่างๆ และช่วยเหลือเท่าที่จะทำให้ได้ เธฮขาดฟืนก็ตัดไม้ไป กระหายก็ตักน้ำไป หิวก็จับปลาเด็กผักไป พวกเราแอบปลื้มกับจิตใจอันดีงามเหล่านั้น ฉันดีใจที่ฉันได้อาศัยอยู่ที่นี่ ที่ๆมีสังคมที่เต็มไปด้วยคนดี เพราะอย่างน้อยฉันก็เป็นเศษส่วนเล็กๆที่ทำให้น้องๆที่นี่ได้วิ่งเล่น เหยียบย่ำ มากว่า12 ปีแล้ว จากเด็กตัวเล็กๆวันนั้น ตอนนี้เติบใหญ่เข้ามหาวิทยาลัย มีมากที่ทำงานแล้ว เจ้าตัวเล็กรุ่นใหม่ก็น่าเอ็นดูไม่น้อย
แอบคิดเสมอ ว่าโตแล้วเธออยากเป็นอะไร ครู ตำรวจ หรือเปล่านะ ส่วนฉัน ฉันอยากเป็นบ้านให้เธอ เป็นห้องสมุด เป็นสิ่งที่เธอจะให้ฉันเป็น ฉันเฝ้ารอและเฝ้ามองถึงวันนั้น
เพราะตัวตนของฉันคือความฝันของเธอ
บ่อดินที่ผสมไว้เมื่อครู่ถูกตักไปจนหมด ชายร่างใหญ่ถือจอบ เดินอาดๆ ตรงมาที่เพื่อนๆที่รักของฉัน เธอกำมือฉันแน่นหลับตาพริ้ม ฉันแอบเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของเธฮ
“เวลาของฉันใกล้จะมาถึงแล้วล่ะ อีกไม่นานนัก อีกไม่นาน”
เธอบอกฉัน ฉันกล่าวลา ไม่นานนัก เธอก็ร่วงลงสู่บ่อดิน
สเน่ห์ของบ้านดินคือการดำเนินชีวิตระหว่างดินกับคนควบคู่ไปกับธรรมชาติ แน่นอนว่าธรรมชาติของดินย่อมต้องอาศัยตามลักษณะแรงดึงดูดและถูกกำหนดตามรูปแบบของเปลือกโลกที่ขึ้นตามภูมิประเทศต่างๆ การเปลี่ยนการจับตัวของดินให้อยู่ในแนวตั้งนั้นย่อมเกิดปัญหาการกัดเซาะ กระเทาะหลุดเป็นธรรมดา เมื่อคนสร้างบ้านดินขึ้นมาจึงต้องหมั่นอยู่ดูแล ซ่อมแซมอยู่เป็นนิจ ตรงไหนหลุดร่อน ก็ไปผสมมาปะ มายัดใหม่ เมื่อแห้งก็ใหม่เอี่ยมเหมือนเดิม ไม่ต่างอะไรกับการเลี้ยงดูกันและกัน
เสียงเครื่องดนตรี ดังเสนาะ มาจากศาลากลาง ฉันยังคงนั่งคอยอยู่ที่เดิม ชายตามองขึ้นไปตามเสียงนั้น คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้วที่เหล่าอาสาจะพักแรม หลังจากกินมื้อเย็นอันแสนอร่อยเอร็ด ก่อนจากมีการจัดการแสดงสันทนาการเล็กๆเริ่มโดยการรำของสาวน้อยสองคน ต่อด้วยน้องตัวเล็กวัยห้าขวบ การสีไวโอลิน และการแสดงผสมผสานระหว่างคนกับหุ่นเชิด สร้างความบันเทิง ให้กับผู้มาเยือน ปิดท้ายด้วยการแสดงของเหล่าอาสาแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม การแสดงสนุกสนานเพลิดเพลินเช่นกัน แม้จะเตรียมการกันอย่างฉุกละหุก แต่ผลที่ได้ คือ เสียงหัวเราะและการแสดงที่พอเอาตัวรอดแบบไม่อายเด็ก ก่อนปิดการแสดงมีการกล่าวขอบคุณกันและกัน สีหน้าที่สังเกตุได้คงพอเป็นคำตอบว่าพวกเขามีความสุขกันเพียงใด ฉันเองพลอยดีใจไปด้วย คืนนั้น ผู้คนเริ่มทยอยไปนอน คนที่ยังไม่ง่วงก็นั่งเขียนสมุดค่าย บ้างก็เล่นดนตรี แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน อากาศไม่ร้อนไม่หนาว คืนนี้ไม่มีดาวมีเดือน แต่ดวงจันทร์เริ่มเต็มดวง วันเพ็ญเดือนสิบสองแล้วนี่ วันนี้วันลอยกระทงแล้ว พวกเขา จะแยกย้ายกันกลับไปลอยกระทงกันไหม ที่กรุงเทพงานลอยกระทงคงเหมือนที่นี่กระมัง งานน่ารักๆ แบบงานวัดที่เคยได้ฟัง เสียงจิ้งหรีดคืนนี้ไม่ระงม มีเพียงเสียงกบเสียงกรนกล่อมทั่วทุ่ง ราวตีสี่ทั่วบริเวณก็มืดสนิท มีเพียงฉันที่ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ
คนพวกนี้เป็นใครกันหนอ ทำไมเขาถึงได้มาเจอกัน ฉันไม่เคยพบไม่เคยเห็น มาแล้วก็จากไป มีหลายคนกลับมา บางคนหายไป บางคนเกิด บางคนตาย อยู่อย่างนี้ ฉันเองไม่มีอายุขัย ไม่มีเกิด ไม่มีตาย ไม่มีแม้กระทั่งตัวเอง ฉันอยู่ตรงนี้ มีชีวิตเพื่อตรงนี้ มีหน้าที่ที่ถูกกำหนดมาตั้งแต่เริ่ม มันดีไหมหนอที่ค้นพบตัวตนได้โดยมิต้องแสวงหา อย่างคนเขาต้องแสวงต้องหา ต้องค้นกว่าจะเจอตัวตนที่ควรเป็น ที่อยากเป็น อยากมี แต่ฉันเป็นดิน อย่างเก่งก็ไปเป็นดินเหนียว ดินร่วน ดินปนทราย ดินตมให้น้ำแล้วแต่สถานการณ์ อายุขัยก็แสนยาวนาน นานจนฉันไม่สนใจ ฉันอาจจะอายุหลายล้านปี แต่นั่นอาจจะเป็นวัยเด็กของดินอย่างฉัน ตอนนี้ฉันปวดหัวจังไม่รู้จักเรียกคนเหล่านั้นว่าอย่างไร
พี่ เพื่อน น้อง ปู่ หลาน หรือหลานดี
เช้าวันใหม่เริ่มอีกครั้งทุกคนตื่นขึ้นเองโดยไม่ต้องมีคนมาปลุก ลุกขึ้นทำภารกิจส่วนตัวแล้วก็หางานที่จะช่วยเหลือกันก่อนจะกินมื้อเช้า ข้าวต้มควันฉุยนั้นมีคนเติมไม่หยุดหย่อน รสชาติเป็นอย่างไรฉันอยากรู้จริง แต่ดูท่าถูกปากไม่หยอก หลังมื้อเช้า ทุกคนนั่งเป็นวงกลมเพื่อเฉลยบัดดี้ ที่แอบดูแลกันมาตลอดสามวัน บางคนเดาถูก บางคนเดาผิด สนุกสนานกันไป ศาลาแห่งนี้จึงดูเหมือนบ้านหลังใหญ่ ที่มีครอบครัวอาสาอาศัยอยู่
และไม่ว่าจะต้นไม้ ใบหญ้า เหล่าปลา หรือสัตว์โลกย่อมอาศัยดินเป็นเสมือนบ้าน ที่คอยค้ำชูและเป็นที่พัก
จวบจนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิตเราจึงกลับกลายเป็นผงดิน
ต้นทางจากท้องแม่สุดท้ายทุกคนก็เพียงผงฝุ่น ชีวิตก็เท่านี้ ไม่ว่าจะสูงเสียดฟ้ามาจากไหน ก็ต้องถูกเหยียบถูกย่ำเข้าซักวัน ดินหรือบ้าน ก็คือปลายทาง ส่วนระหว่างทางผงนั้นได้ทำคุณค่า หรือทำลาย เหล่านั้นเธอรู้ดี
แต่ที่แน่ๆไม่มีที่ไหนสุขเท่าอยู่บ้าน
ทุกคนเริ่มลงมาเหยียบมาย่ำดินกันอีกครั้ง ด้วยแรงงานแรงใจที่เต็มเปี่ยม วันนี้เขาผสมดินได้มากขึ้นกว่าเดิม บ่อดินจากหนึ่งบ่อ ตอนนี้เป็นสามบ่อ ความเหนื่อยล้าแสดงให้เห็นอยู่บ้างแต่รอยยิ้มนั้นซิชัดเจนกว่าสิ่งใด ไม่นานถังก็วางเรียงรายรอการลำเลียงอีกครั้ง อิฐถูกทำและตากแดดไว้มากขึ้นๆ อิฐถูกก่อสูงขึ้นเล็กน้อย แต่ความสัมพันธ์ระหว่างกลับมากขึ้นจนนับกันไม่ถ้วน
ได้เวลาพักกินขนมตาล และน้ำอัญชัน ทุกคนพละมือ จากอุปกรณ์พักผ่อนพูดคุยกันในร่ม กินขนมทั้งๆที่เนื้อตัวมอมแมม
ดินที่ผสมไว้เมื่อครู่ถูกตักไปจนหมดแล้ว ชั่วครู่ชายร่างใหญ่ถือจอบตรงมาที่ๆฉันนั่งอยู่ ฉันกำมือเพื่อนแน่นหลับตาพริ้มพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“เวลาของเธอใกล้จะมาถึงแล้วล่ะ อีกไม่นานนัก อีกไม่นาน”
ชายคนนั้นเดินมาใกล้ๆ กระซิบเบาๆ
ค่ายอาสาสร้างห้องสมุดดิน กลุ่มรักษ์เขาชะเมา
อำเภอแกลง จังหวัดระยอง
วันนี้ฉันตื่นขึ้นด้วยอารมณ์ที่แจ่มใส แม้ผิวกายจะเริ่มแห้งกร้านเพราะแรงแห่งลมหนาว แจ่มใสเพราะอะไรน่ะหรือ เพราะวันนี้เป็นวันเริ่มค่ายห้องสมุดดินอีกครั้ง ฉันรอคอยวันนี้ วันที่ทุกคนจะกลับมาหลังจากที่ค่ายห้องสมุดดินคราก่อนได้ทำอิฐ ก่อผนังไปแล้วบางส่วน คราวนี้จะสูงขึ้นอีกเท่าไรกัน จะมากกว่าคราวที่แล้วมั๊ยน้อ
บ้านดินที่เสร็จเรียบร้อยไปแล้วหลังหนึ่งนั้นตั้งงามเด่นอยู่ฝั่งซ้ายของทางเข้า เบียดบังเจ้าลีลาวดีและหูกวางวัยละอ่อนต้นนั้นให้เอียงอาย อีกฝั่งหนึ่งเป็นบ่อน้ำที่เต็มไปด้วยต้นหญ้าชูชันขยันกันพ้นน้ำ ดูเผินๆเหมือนเป็นผืนดิน ใครเดินไม่ดี ก็จะมีคนตกน้ำให้ดูละทีนี้
บ่อน้ำ บ้านดิน เราเป็นญาติกันอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะดินที่รังสรรค์สถาปัตยกรรมชิ้นเอกนั้นก็ไม่ได้ขนถ่ายมาจากแห่งหนใด หากแต่ถูกตัก ถูกคลุกเคล้า จากดินที่เคยถมเต็มบ่อนั้นเอง เมื่อดินเหล่านั้นได้ห่มคลุมปกป้องผู้คน เจ้าบ้อก็กลายเป็นบ้านหลังน้อยๆให้เจ้าปลาชนิดต่างๆได้อาศัย
ไม่ว่าจะต้นไม้ ใบหญ้า เหล่าปลา หรือสัตว์โลกย่อมอาศัยดินเป็นเสมือนบ้าน ที่คอยค้ำชูและเป็นที่พัก
อย่างเขาว่ากัน ไม่มีที่ใดสุขเท่าที่บ้าน(ดิน)
แว่วเสียงเครื่องยนต์ ไม่นานนัก รถตู้ รถกระบะ เริ่มทยอยเข้าสู่ลานกลางของกลุ่มรักษ์เขาชะเมา ทำให้ลานกว้างดูแน่นขนัดไปทันตา ไม่นานนักเหล่าคนใจดีก็เดินออกมายืดเส้นยืดสายและพักผ่อนให้หายเหนื่อย น้ำฝางใส่น้ำแข็งและขนมสอดใส่อีกนั่นที่ปลิดเอาความง่วง หาว หนาว เหนื่อย ออกไปสิ้น
เหล่าอาสาและเหล่าสมาชิกรักษ์เขาชะเมารวมตัวกันในบ้านดินหลังนั้น เพื่อทำความรู้จักซึ่งกันและกัน ชื่อ และสถาบันคงเป็นสิ่งที่หล่อหลอมภาพลักษณ์ของกันและกันได้เร็วที่สุด บางครั้งก็เป็นทางลัดให้เข้าใจกันแต่ก็มีบางทีเป็นเกราะ เพราะภาพลักษณ์ที่ห่มไว้ไม่ต้องใจกัน
แต่ไม่สำคัญสักนิด ถ้าเราทิ้งตัวตนแล้วมุ่งสู่จุดหมายเดียวกัน
บ่ายวันนั้นชาวอาสาเริ่มเรียงรายเข้าสู่ ลานห้องสมุดดิน หลุมจากค่ายก่อนที่ฉ่ำน้ำราวตาตุ่มถูกวิดออก เพื่อใช้งานต่อ เริ่มจากการใช้ชายแรงดีพร้อมจอบเสียม ช่วยกันตัด ขุด เฉาะ เอาดินรอบๆลงมากองรวมไว้ที่กลางบ่อ ดินที่อยู่ใต้พื้นจะจับตัวกันแน่นเหนียวเป็นพิเศษ ยิ่งดินร่วนละเอียดเท่าไรขั้นตอนต่อไปคือ การย่ำก็จะทำได้ง่ายขึ้น
เมื่อดินเริ่มทับถมจมรวมได้ที่ เหล่าอาสาก็ได้เวลาประชุมตีน น้ำช่วยหล่อลื่นและแทรกซึมให้ดินแตกตัวออกจากกัน ใส่พอให้เหยียบแล้วนุ่ม เย็นเท้า อย่าให้มากเกินไปเชียว เพราะถ้าดินเหลวเกิน ไม่จับตัว จะแก้กันก็ต้องตักดินมาเพิ่มแล้วเริ่มใหม่ เหนื่อยกันอีกที
เจ้าใส้เดือนเพื่อนฉัน ใส้เดือนที่มีหน้าที่ไชดินให้ร่วนซุย เพื่อรากไม้ได้เหยียดเท้าหยั่งลึก บัดนี้มันได้ถูกเหยียบถูกย่ำ ถูกตัด บนกองดินนั่น แต่ฉันรู้เหลือเกินว่ามันเต็มใจที่จะตาย เพื่อประโยชน์ที่มากกว่านั้น เจ้าใส้เดือนอยากเห็นบ้านดิน อยากเห็นเด็กน้อยมีการศึกษา เธอยิ้มให้ฉันในวินาทีสุดท้ายและรู้ฉันไม่ได้คิดไปเอง สีแดงจากใส้เดือนเมื่อถูกย่ำเหยียบ ไม่นานซากและคราบเลือดก็กลืนไปกับดินจนแยกมิออก ไม่ต่างจากสรรพชีวิตที่ร่วมหัวจมท้ายในบ่อนี้
แกลบเป็นส่วนผสมอีกส่วนเพื่อให้ดินจับตัวแข็งแรงและน้ำหนักเบา เปรียบเหทียบก็เหมือน ที่จับที่ยึดให้เหล่ามูลดิน การผสมก็ผสมให้เหนียวกว่าคราวแรกที่เป็นดินล้วนๆ เมื่อเหยียบดินกับแกลบพอเป็นเนื้อเดียวแล้ว วัดโดยการเหยียบเป็นรอยดู ถ้าไม่คืนรูป ทิ้งตัวลงมาหรือติดเท้าเป็นก้อนก็เป็นอันใช้ได้ ดินถูกลำเลียงใส่ถังนำไปยึดดินก้อนที่ตากแห้งแล้วเพื่อก่อเป็นอิฐ ยึดดินกับดิน และนำไปเข้าบล็อคไม้เพื่อทำเป็นอิฐ ต่อไป
ไม่เพียงแต่แกลบ ดินน้ำ เท่านั้นที่เป็นส่วนผสม สำหรับดินก้อนที่ดีมีประสิทธิภาพ แต่เหงื่อจะความเหน็ดเหนื่อย เวลาที่ใช้ร่วมกัน รอยยิ้มที่ร่วงโปรยผนวกกับเสียงหัวเราะ นั้นต่างหากที่ทำให้ดินเป็นดิน ทำให้ดินเป็นเพื่อน ทำให้ดินมีชีวิต เฉกเช่นเดียวกับปู่ ย่า ตา ทวด พี่ น้อง เครือญาติและเพื่อนของฉัน ที่ถูกชุบชีวิตและกระจัดกระจายไปทำหน้าที่อยู่ตามก้อนอิฐ ดินฉาบ ที่บ้านดินหลังนั้นและห้องสมุดที่กำลังก่อขึ้น
ฉันได้เพียงเฝ้ามองดูสองมือ สองเท้านั้นแสนมหัศจรรย์ การเกิดมาเป็นคนนี่ดีนักแล จะทำสิ่งใดก็ทำสำเร็จได้โดยง่าย ไม่ว่างานจะยากซักแค่ไหน เธอจะรู้ไหมว่าฉัน แดดที่พาดผ่าน ลมที่พัดพริ้ว พืชพรรณไพร แม้กระทั่งจิ้งจกและหมาตัวนั้น ต่างแอบเฝ้ามองดูพวกเธอ คอยให้ความสนับสนุนอยู่ห่างๆ และช่วยเหลือเท่าที่จะทำให้ได้ เธฮขาดฟืนก็ตัดไม้ไป กระหายก็ตักน้ำไป หิวก็จับปลาเด็กผักไป พวกเราแอบปลื้มกับจิตใจอันดีงามเหล่านั้น ฉันดีใจที่ฉันได้อาศัยอยู่ที่นี่ ที่ๆมีสังคมที่เต็มไปด้วยคนดี เพราะอย่างน้อยฉันก็เป็นเศษส่วนเล็กๆที่ทำให้น้องๆที่นี่ได้วิ่งเล่น เหยียบย่ำ มากว่า12 ปีแล้ว จากเด็กตัวเล็กๆวันนั้น ตอนนี้เติบใหญ่เข้ามหาวิทยาลัย มีมากที่ทำงานแล้ว เจ้าตัวเล็กรุ่นใหม่ก็น่าเอ็นดูไม่น้อย
แอบคิดเสมอ ว่าโตแล้วเธออยากเป็นอะไร ครู ตำรวจ หรือเปล่านะ ส่วนฉัน ฉันอยากเป็นบ้านให้เธอ เป็นห้องสมุด เป็นสิ่งที่เธอจะให้ฉันเป็น ฉันเฝ้ารอและเฝ้ามองถึงวันนั้น
เพราะตัวตนของฉันคือความฝันของเธอ
บ่อดินที่ผสมไว้เมื่อครู่ถูกตักไปจนหมด ชายร่างใหญ่ถือจอบ เดินอาดๆ ตรงมาที่เพื่อนๆที่รักของฉัน เธอกำมือฉันแน่นหลับตาพริ้ม ฉันแอบเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของเธฮ
“เวลาของฉันใกล้จะมาถึงแล้วล่ะ อีกไม่นานนัก อีกไม่นาน”
เธอบอกฉัน ฉันกล่าวลา ไม่นานนัก เธอก็ร่วงลงสู่บ่อดิน
สเน่ห์ของบ้านดินคือการดำเนินชีวิตระหว่างดินกับคนควบคู่ไปกับธรรมชาติ แน่นอนว่าธรรมชาติของดินย่อมต้องอาศัยตามลักษณะแรงดึงดูดและถูกกำหนดตามรูปแบบของเปลือกโลกที่ขึ้นตามภูมิประเทศต่างๆ การเปลี่ยนการจับตัวของดินให้อยู่ในแนวตั้งนั้นย่อมเกิดปัญหาการกัดเซาะ กระเทาะหลุดเป็นธรรมดา เมื่อคนสร้างบ้านดินขึ้นมาจึงต้องหมั่นอยู่ดูแล ซ่อมแซมอยู่เป็นนิจ ตรงไหนหลุดร่อน ก็ไปผสมมาปะ มายัดใหม่ เมื่อแห้งก็ใหม่เอี่ยมเหมือนเดิม ไม่ต่างอะไรกับการเลี้ยงดูกันและกัน
เสียงเครื่องดนตรี ดังเสนาะ มาจากศาลากลาง ฉันยังคงนั่งคอยอยู่ที่เดิม ชายตามองขึ้นไปตามเสียงนั้น คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้วที่เหล่าอาสาจะพักแรม หลังจากกินมื้อเย็นอันแสนอร่อยเอร็ด ก่อนจากมีการจัดการแสดงสันทนาการเล็กๆเริ่มโดยการรำของสาวน้อยสองคน ต่อด้วยน้องตัวเล็กวัยห้าขวบ การสีไวโอลิน และการแสดงผสมผสานระหว่างคนกับหุ่นเชิด สร้างความบันเทิง ให้กับผู้มาเยือน ปิดท้ายด้วยการแสดงของเหล่าอาสาแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม การแสดงสนุกสนานเพลิดเพลินเช่นกัน แม้จะเตรียมการกันอย่างฉุกละหุก แต่ผลที่ได้ คือ เสียงหัวเราะและการแสดงที่พอเอาตัวรอดแบบไม่อายเด็ก ก่อนปิดการแสดงมีการกล่าวขอบคุณกันและกัน สีหน้าที่สังเกตุได้คงพอเป็นคำตอบว่าพวกเขามีความสุขกันเพียงใด ฉันเองพลอยดีใจไปด้วย คืนนั้น ผู้คนเริ่มทยอยไปนอน คนที่ยังไม่ง่วงก็นั่งเขียนสมุดค่าย บ้างก็เล่นดนตรี แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน อากาศไม่ร้อนไม่หนาว คืนนี้ไม่มีดาวมีเดือน แต่ดวงจันทร์เริ่มเต็มดวง วันเพ็ญเดือนสิบสองแล้วนี่ วันนี้วันลอยกระทงแล้ว พวกเขา จะแยกย้ายกันกลับไปลอยกระทงกันไหม ที่กรุงเทพงานลอยกระทงคงเหมือนที่นี่กระมัง งานน่ารักๆ แบบงานวัดที่เคยได้ฟัง เสียงจิ้งหรีดคืนนี้ไม่ระงม มีเพียงเสียงกบเสียงกรนกล่อมทั่วทุ่ง ราวตีสี่ทั่วบริเวณก็มืดสนิท มีเพียงฉันที่ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ
คนพวกนี้เป็นใครกันหนอ ทำไมเขาถึงได้มาเจอกัน ฉันไม่เคยพบไม่เคยเห็น มาแล้วก็จากไป มีหลายคนกลับมา บางคนหายไป บางคนเกิด บางคนตาย อยู่อย่างนี้ ฉันเองไม่มีอายุขัย ไม่มีเกิด ไม่มีตาย ไม่มีแม้กระทั่งตัวเอง ฉันอยู่ตรงนี้ มีชีวิตเพื่อตรงนี้ มีหน้าที่ที่ถูกกำหนดมาตั้งแต่เริ่ม มันดีไหมหนอที่ค้นพบตัวตนได้โดยมิต้องแสวงหา อย่างคนเขาต้องแสวงต้องหา ต้องค้นกว่าจะเจอตัวตนที่ควรเป็น ที่อยากเป็น อยากมี แต่ฉันเป็นดิน อย่างเก่งก็ไปเป็นดินเหนียว ดินร่วน ดินปนทราย ดินตมให้น้ำแล้วแต่สถานการณ์ อายุขัยก็แสนยาวนาน นานจนฉันไม่สนใจ ฉันอาจจะอายุหลายล้านปี แต่นั่นอาจจะเป็นวัยเด็กของดินอย่างฉัน ตอนนี้ฉันปวดหัวจังไม่รู้จักเรียกคนเหล่านั้นว่าอย่างไร
พี่ เพื่อน น้อง ปู่ หลาน หรือหลานดี
เช้าวันใหม่เริ่มอีกครั้งทุกคนตื่นขึ้นเองโดยไม่ต้องมีคนมาปลุก ลุกขึ้นทำภารกิจส่วนตัวแล้วก็หางานที่จะช่วยเหลือกันก่อนจะกินมื้อเช้า ข้าวต้มควันฉุยนั้นมีคนเติมไม่หยุดหย่อน รสชาติเป็นอย่างไรฉันอยากรู้จริง แต่ดูท่าถูกปากไม่หยอก หลังมื้อเช้า ทุกคนนั่งเป็นวงกลมเพื่อเฉลยบัดดี้ ที่แอบดูแลกันมาตลอดสามวัน บางคนเดาถูก บางคนเดาผิด สนุกสนานกันไป ศาลาแห่งนี้จึงดูเหมือนบ้านหลังใหญ่ ที่มีครอบครัวอาสาอาศัยอยู่
และไม่ว่าจะต้นไม้ ใบหญ้า เหล่าปลา หรือสัตว์โลกย่อมอาศัยดินเป็นเสมือนบ้าน ที่คอยค้ำชูและเป็นที่พัก
จวบจนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิตเราจึงกลับกลายเป็นผงดิน
ต้นทางจากท้องแม่สุดท้ายทุกคนก็เพียงผงฝุ่น ชีวิตก็เท่านี้ ไม่ว่าจะสูงเสียดฟ้ามาจากไหน ก็ต้องถูกเหยียบถูกย่ำเข้าซักวัน ดินหรือบ้าน ก็คือปลายทาง ส่วนระหว่างทางผงนั้นได้ทำคุณค่า หรือทำลาย เหล่านั้นเธอรู้ดี
แต่ที่แน่ๆไม่มีที่ไหนสุขเท่าอยู่บ้าน
ทุกคนเริ่มลงมาเหยียบมาย่ำดินกันอีกครั้ง ด้วยแรงงานแรงใจที่เต็มเปี่ยม วันนี้เขาผสมดินได้มากขึ้นกว่าเดิม บ่อดินจากหนึ่งบ่อ ตอนนี้เป็นสามบ่อ ความเหนื่อยล้าแสดงให้เห็นอยู่บ้างแต่รอยยิ้มนั้นซิชัดเจนกว่าสิ่งใด ไม่นานถังก็วางเรียงรายรอการลำเลียงอีกครั้ง อิฐถูกทำและตากแดดไว้มากขึ้นๆ อิฐถูกก่อสูงขึ้นเล็กน้อย แต่ความสัมพันธ์ระหว่างกลับมากขึ้นจนนับกันไม่ถ้วน
ได้เวลาพักกินขนมตาล และน้ำอัญชัน ทุกคนพละมือ จากอุปกรณ์พักผ่อนพูดคุยกันในร่ม กินขนมทั้งๆที่เนื้อตัวมอมแมม
ดินที่ผสมไว้เมื่อครู่ถูกตักไปจนหมดแล้ว ชั่วครู่ชายร่างใหญ่ถือจอบตรงมาที่ๆฉันนั่งอยู่ ฉันกำมือเพื่อนแน่นหลับตาพริ้มพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“เวลาของเธอใกล้จะมาถึงแล้วล่ะ อีกไม่นานนัก อีกไม่นาน”
ชายคนนั้นเดินมาใกล้ๆ กระซิบเบาๆ
ค่ายอาสาสร้างห้องสมุดดิน กลุ่มรักษ์เขาชะเมา
อำเภอแกลง จังหวัดระยอง
Thursday, November 02, 2006
Everybody gotta learn sometime
Ost.Eternal sunshine of the spotless mine
Everybody's Gotta Learn Sometimes
Artist: Beck
Change your heart
Look around you
Change your heart
It will astound you
I need your lovin'
Like the sunshine
Everybody's gotta learn sometime
Everybody's gotta learn sometime
Everybody's gotta learn sometime
Change your heart
Look around you
Change your heartWill astound
youI need your lovin'
Like the sunshine
Everybody's gotta learn sometime
Everybody's gotta learn sometime
Everybody's gotta learn sometime
I need your lovin'
Like the sunshine
Everybody's gotta learn sometime
Everybody's gotta learn sometime
Everybody's gotta learn sometime
Everybody's gotta learn sometime
Everybody's gotta learn sometime
Everybody's gotta learn sometime
Everybody's gotta learn sometime
Everybody's gotta learn sometime
Wednesday, November 01, 2006
24
24 (twenty-four)คือ ชื่อซีรี่สุดฮิตของ fox ช่องทีวียอดฮิตของอเมริกา เป็นหนังเรื่องล่าสุดที่ได้ดูจบไป อันที่จริงผมเพิ่งดูไปเพียงซีซั่นเดียวจากทั้งหมด 6 ซีซั่น ชื่อเรื่อง 24 มาจาก 24 hours ใน 24 ชม.ก็คือ 1 วัน และเป็นความยาวของซีรี่ 1 ซีซั่น พอดิบพอดี โดยดำเนินเรื่องจะดำเนินตั้งแต่ 8 โมงเช้า และไปจบที่ 8 โมงเช้าของวันถัดมา
เรื่องราวโดยรวมของซีซั่นนี้ พูดถึง แผนการก่อการร้ายที่จะมีการจุดระเบิดนิวเคลียร์ขึ้นในลอสแองเจิลลิสภายใน 1 วัน ทำให้ คิม บาวเออร์ ซึ่งถอนตัวจากการเป็นนักสืบสวนไล่ล่าขององค์กร CTU (องค์กรปราบปรามการก่อการร้าย) ถูกรียกตัวกลับมารับใช้ชาติอีกครั้ง ภารกิจครั้งนี้นอกจากจะมีการติดตามการสืบสวนของบาวเออร์แล้ว ผกก ยังใช้สถานการณ์ ของตัวละคร เช่น คิมเบอลี่ บาวเออร์(ลูกสาวคิม บาวเออร์) ที่พยายามจะหนีออกจากลอสเองเจอลิส เพื่อเอาชีวิตรอด จอร์จ เมสัน ผอ.CTU กับการเป็นหน่วยงานสนับสนุนคิม บาวเอร์ ประธานาธิบดีพาล์มเมอร์ ที่ชิงไหวชิงพริบทางด้านการเมืองทั้งในและต่างประเทศ ที่เต็มไปด้วยคลื่นใต้น้ำ ครอบครัววอร์เนอร์ ครอบครัวที่ดูแสนจะอบอุ่นแต่เบื้องหลังพัวพันไปกับการก่อการร้าย การดำเนินเรื่องนั้นเต็มไปด้วยอรรถรส เพราะมีสถานการณ์ให้เราต้องติดตามอยู่ตลอด ทำให้ผมนั้นอดนอนไปหลายคืน เพราะ อดใจไม่ดูต่อไม่ได้ เรื่องราวดูเหมือนจะจบที่การพบระเบิดและระเบิดถูกทำลาย แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น มีการใช้หลักฐานลวง ว่าระเบิดเกิดจากการร่วมมือกันของสามชาติอาหรับ ทำให้ ปธ.จำเป็นต้องประกาศสงครามแต่ในท้ายที่สุด คิม บาวเออร์ ก็พบหลักฐาน ชิ้นสำคัญที่ทำให้สงครามโลกครั้งที่สามไม่เกิด และผู้สมคมคิดตัวใหญ่ถูกวิสามัญ เรื่องทิ้งท้ายที่ฉากการแถลงข่าวของชาววันใหม่โดย ปธ พาล์มเมอร์ หลังจากปราศรัยแสร็จ ก็ทักทายปรชาชนโดยการจับมือ หลังจากเดินผ่านฝูงชนเพื่อขึ้นรถ ปธ.ล้มลงพร้อมกับมือที่สภาพเหมือนถูกเชื้อโรคร้ายแรง
ดูมันซิครับผมดูมา 24 ชม. มันมาจบอย่างนี้ ทำให้ผมอดใจไม่ได้ที่ต้องฝากจิมซื้อ ซี่ซั่น 1-4 มาจากแม่สาย เพื่อมาดูต่อ ตั้งใจว่าจะเริ่มดูตอนแปดโมงโดยไม่ทำอะไร แล้วพอจบซีซั่นค่อยหลับนอน (แต่อาจจะอดใจดูซีซั่นต่อไปไม่ไหว)
สิ่งสำคัญที่ทำให้หนังเรื่องนี้น่าสนใจอย่างยิ่งคือ บทละคร
แม้ว่าพลอทเรื่องจะเป็นลักษณะเดิมๆ ของหนังฮอลลีวูด คือ มีผู้ก่อการร้าย ระเบิด ประธานาธิบดี นาวเอก
แต่เรื่องนี้มีความลึกในเรื่องจิตวิทยาของคนอย่างมาก ไม่ว่าตัวละครจะเด่นจะดับขนาดไหน แต่การแสดง
และบทที่ถูกเขียนนั้น ทำให้เรารู้สึกได้ถึงความจริงในโลกสมมุติ ตัวละครมีความลึกและมีชีวิตจิตใจ
มีความสั่นไหวโอนเอียง มีความริษยา โกรธ เก็บกด ครบทุกส่วน และทำให้เรารู้สึกเป็นคนอเมริกันคนนึงโดยปริยาย
อันที่จริงหนังเรื่องนี้มีความสมบูรณ์ในตัว แต่โดยส่วนตัวก็ชอบการกำกับและเขียนบท
และเป็นเรื่องที่แนะนำให้ไปดูกัน รับรองว่าไม่เสียเวลา
อาจจะง่วงเล็กน้อยตอนไปทำงาน แต่ก็คุ้มครับ รับรอง
ประชุม
วันนี้ประชุมกันได้ยาวนานมาก(จาก ห้าโมงจนถึงสามทุ่ม)
เป็นระยะเวลาที่ยาวนานแต่ก็ผ่านไปรวดเร็วใช้ได้
ผลจากการนั่งสนทนา
ทำให้ความเข้าใจเริ่มเกิดขึ้นแล้ว(คงงั้น)
อย่างน้อยมันก็ทำให้เราได้ใช้เวลาด้วยกันมากขึ้น คุ้นเคยกันมากขึ้น
เพราะนอกจากจะเข้าใจงาน
เราจำเป็นต้องเข้าใจเพื่อนร่วมงานไปในชั่วขณะเดียวกัน
ผมเอง เป็นคนใหม่ที่สุดที่ได้เข้ามาจับงาน "อาสา"
ทั้งที่ไม่เคยได้ใกล้เคียงมาก่อน
พูดจิงๆก็ยังไม่ซาบซึ้งกับการให้ซักเท่าไร
แต่สิ่งนี้แหละเป็นสิ่งดีๆที่ผมอยากมาทำ
ทำให้คนอื่นได้รู้จักการให้
ทำให้คนอื่นมีรอยยิ้ม
ทำอย่างไรก็ได้ ให้คนอย่างผม
น้อยลง น้อยลง...
เป็นอีกคนที่มีค่าควรแก่สังคม
มากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น...
ขอบคุณทรูมูฟที่เอื้อเฝื้อสถานที่
เป็นระยะเวลาที่ยาวนานแต่ก็ผ่านไปรวดเร็วใช้ได้
ผลจากการนั่งสนทนา
ทำให้ความเข้าใจเริ่มเกิดขึ้นแล้ว(คงงั้น)
อย่างน้อยมันก็ทำให้เราได้ใช้เวลาด้วยกันมากขึ้น คุ้นเคยกันมากขึ้น
เพราะนอกจากจะเข้าใจงาน
เราจำเป็นต้องเข้าใจเพื่อนร่วมงานไปในชั่วขณะเดียวกัน
ผมเอง เป็นคนใหม่ที่สุดที่ได้เข้ามาจับงาน "อาสา"
ทั้งที่ไม่เคยได้ใกล้เคียงมาก่อน
พูดจิงๆก็ยังไม่ซาบซึ้งกับการให้ซักเท่าไร
แต่สิ่งนี้แหละเป็นสิ่งดีๆที่ผมอยากมาทำ
ทำให้คนอื่นได้รู้จักการให้
ทำให้คนอื่นมีรอยยิ้ม
ทำอย่างไรก็ได้ ให้คนอย่างผม
น้อยลง น้อยลง...
เป็นอีกคนที่มีค่าควรแก่สังคม
มากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น...
ขอบคุณทรูมูฟที่เอื้อเฝื้อสถานที่
Saturday, October 28, 2006
เปิดดวงตา เปิดดวงใจ ไปกับบทเพลงพุทธทาส
ผมอยู่บนรถที่กำลังตรงดิ่งไปยังที่ประชุมย่านข้าวสาร
ด้วยความเร็ว .5 เมตรต่อนาที
โดยมีพลขับเป็นป็อบ และมีผมติดสอยห้อยติ่งไปด้วย
ระยะเวลาจากรัชดาจนถึงศรีอยุธยาก็ปาเข้าไป หนึ่งชั่วโมงกว่า
ทำให้ข้าวสารดูยิ่งใกลเท่ากับไปกินข้าวซอยที่เชียงใหม่ยังไงยั่งงั้น
ระหว่างทาง คำสนทนาค่อยๆสร้างภาพลักษณืให้ต่างผู้ จากต่างถิ่นได้รู้จักกันมากขึ้น
ถ้าป็อป เป็นนักสู้คู่คุณธรรม คร่ำวิชาการ ทำเพื่อสังคม
ผมก็เป็นพวกเฮฮา เอาสนุกเข้าว่า ตามลักษณะการ "ใช้"ชีวิตให้สุขสุด
ทำไมคนต่างชนิดอย่างเราถึงมาเจอกันวะ กูล่ะงง
คนแต่ละคนที่ได้เจอ ได้ทำกิจกรรมร่วมกันนั้น ได้มีเส้นทางชีวิตพาดผ่านกันนั้น
คงแปรผันตรงกับระดับจิตที่เทียบเคียงกันไม่มากก็น้อย
"...เดือนกุมภาพันธ์ ปีหน้าจะมีคอนเสิร์ตพุทธทาส " ป็อปเอ่ย
เป็นครั้งแรกทีเดียวที่ได้ยินเรื่องน่าสนุกจากปากของชายหนุ่มคนนี้
และฉับพลันนั้น ภาพต่างๆพรั่งพรูออกจากโสตสำนึก นักดนตรีกำลังบรรเลงเพลงคำสอนของท่านพุทธทาส
สำเนียงเสียงสอดแทรกเข้ากำกับจังหวะภาพให้เพลิดเพลิน
ผมนึกวู่วามไปถึงการจัดแสง รูปแบบเวที การออกแบบอารมณ์คนดู และ ลำดับการแสดง
อืม เป็นธรรมชาติของเราเองจิง ที่เมื่อเจอเรื่องแบบนี้ ก็พลันห้ามเกาสมองแสนคันนี้ไม่ได
========================================================
การกำเนิดขึ้นของบทเพลงเพื่อศาสนานั้นมีมานาน แต่ที่เป็นจริงเป็นจังจนถึงขั้นเป็น"สไตล์" นั้น ก็เห็นจะมี Godspel
ของชาวคาธอลิก ที่ได้ยินกันคุ้นหูและได้ดูกันตามหนังฮอลลีวู้ด
นอกเหนือจากนั้นก็เป็นในรูปของ spiritual music ที่สื่ออกมาในลักษณะ instrumental
ที่ฟังแล้วอยากจะออกไปร่ายรำ กลางอากาศ แสดงการหลุดพ้นจากโลกชั่วขณะลมหายใจ
และจำพวกดนตรีบำบัดที่มีขายตามสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส
หลังจากที่ได้ยินได้ฟังว่าจะมีคอนเสิร์ตดังกล่าว ผมแอบคิดไม่ได้ว่างานนี้จะออกมาแนวไหน
=======================================
วันนี้ผมมาเดินเหงาอยู่ที่นี่
แต่วันนี้ ผมไม่ได้มาที่นี่คนเดียว
มีคนอีกเรือนแสนเดินขวักไขว่เคียงข้าง
และสามร้อยหกสิบองศา ล้วนเป็นชายคาให้เหล่าหนังสือ
ในมือถือบัตรเชิญ ที่กำลังนอนกรนอยู่ในซอง
"เชิญร่วมงานเปิดตัวอัลบั้มและชม Mini Concert ในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 11
วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม 2549 เวลา 13.00-17.00น.
เพลงพุทธทาส-เปิดดวงตา โดย จีวันแบนด์และศิลปินรับเชิญ..."
ภาพบนปกที่เป็นภาพสไตล์อียิปโบราณ (สำหรับภาพคน ศีรษะหันข้าง ลำตัว เอวหันตรง ต้นขาจนถึงเท้าหันข้าง)
มีผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งมีศีรษะเป็นดวงตานั่งบนบัลลังค์ กำลังยื่นดวงตาให้เหล่า
ผู้คนไร้หัว ที่เดินเข้ามารับหัวดวงตาไปสวมใส่ เพื่อให้หลุดพ้นจากความมืดมน
...พุทธทาส ทาสแห่งพุทธ แม้ปีนี้เป็นปีที่ครบร้อยปีชาตกาล แม่ว่ากายท่านสลาย แต่ท่านยังไม่ตาย
และท่านยังคอยส่งถ่ายดวงตาและแสงสว่างให้กับสังคมอันสว่างไสวด้วยแสงไฟ แต่กลับมืดมิดและบอดสนิท...
วันนี้เป็นวันแถลงข่าวเปิดงาน
ภายในงานคับคั่งไปด้วยแขกรับเชิญ สื่อมวลชน ศิลปินและผู้คนที่มาเดินงานหนังสือ จนเก้าอี้ภายในห้องถูกจัดไว้นั้นไม่เพียงพอ
แต่ก็ไม่มีใครเอ่ยปากบ่นอะไรเพราะถือเป็นงานบุญกลายๆ และสุขใจที่ได้มาร่วมงานกันวันนี้
อดคิดแทนผู้สนับสนุน คือสำนักพิมพ์สุขภาพใจ และทีมงาน ไม่ได้ว่าคงอิ่มใจไม่น้อย
นอกจากชื่อที่มีคำว่าพุทธทาสแล้ว คำว่าดนตรีก็ช่วยให้คนสนใจงานนี้มากขึ้นทั้งในวงกว้างและลึก
สังเกตุได้จาก ผู้ที่มาชมงานที่มีทั้งเด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ คนแก่
หลายคนอาจมาเพราะท่านพุทธทาส
หลายคนอาจมาเพราะชอบดนตรีหรือเป็นแฟนเพลงวงจีแบน
หลายคน หลายเหตุผล แต่จิตใจเดียวกัน
และคงแปรผันตรงกับระดับจิตที่เทียบเคียงกันไม่มากก็น้อย
ข้างๆผมเป็นกลุ่มวัยรุ่นกำลังตั้งหัวข้อพูดคุยกันเรื่องแนวเพลงที่จะได้ฟังวันนี้
"เฮ้ย แล้วมันจะมีคนฟังเหรอวะ เด็กรุ่นเราจะฟังเหรอวะ"
"เออ ยังไม่ได้ฟังเลย แต่ดูแล้วไม่น่าว่ะ คงได้กันในวงใน"
อืม...
ผมเองถ้าไม่ได้ป๊อปบอกมา จะรู้ไม่เนี่ยว่ามีงานนี้
มีสิ่งดีๆนี้เกิดขึ้น แต่เอาน่ะ อย่างน้อยก็ได้วงในล่ะนะ และวงในเนี่ยล่ะก็ต้องช่วย
ทลายกำแพงซะ ไม่ต้องมีใน มีนอก ที่นี้ละสนุก และสุขแน่
==================================
คุณดินป่า จีวัน เล่าถึง ประวัติความเป็นมาของโครงการ
สืบเนื่องจากเป็นการฉลองครบ 100 ปีชาตกาล พุทธทาสภิกขุ
และจากคำสนทนาในปี พ.ศ. 2487 ระหว่าง พณฯ ท่านปรีดี พนมยงค์ กับ ท่านพุทธทาส
ที่ได้สนทนากันสามวันสามคืน โดยมีประเด็นเรื่องของ
การมีเพลงเพื่อใช้ในการเผยแพร่พระพุทธศาสนา
ที่เป็นความบันเทิงอันเต็มไปด้วยรสแห่งธรรม Spiritual entertainment
ด้วยความศรัทธา จึงได้ทำเพลงในแนวทางนี้ขึ้นร่วมกับศิลปินอีกหลายชีวิต
โดยใช้เวลา 16 เดือนเต็มในการสร้างสรรค์
"หลายคนอาจพูดกันว่านี่เป็นเพลงทางเลือก เราอยากบอกว่านี่ไม่ใช่เพลงทางเลือก แต่เป็นเพลงทางรอด"
คุณดินป่าจีวันทิ้งท้าย
ในงานต่อด้วยการแสดงจินตลีลาประกอบบทเพลงอันสวยงาม
ของคุณมานพ มีจำรัส ที่สกดคนดูชั่วครู่ด้วยความอ้อนช้อยที่ผสานกับความแข็งแกร่งของผู้เต้น
ต่อด้วยการแสดงดนตรีที่ซึ่งหยิบเอาบทเพลงในทั้งสามอัลบั้มออกมาโชว์กัน
บรรเลงโดยวงจีวัน และศิลปินรับเชิญหลายท่าน
เพลง ชลุ่ยกับไม้ไผ่ ที่เชิญคุณเนาวรัตน์ พงษ์ ไพบูลย์ ออกมาขับกลอน
ประกอบเสียงขลุ่ยของอาจารย์ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี
ด้วยเนื้อหาและดนตรีที่สอดคล้องเข้ากันอย่างลงตัว
ดุจสายน้ำไหลเย็นเชี่ยวกับหมู่ปลาที่แหวกว่าย
ทำให้ตลอดการแสดงทำเอาผมขนลุกอยู่ตรงนั้นเลยทีเดียว
"เพราะเหลือเกิน"ในใจคิด
การแสดงพิณแก้วของ อ.ทวีพงษ์ ทวีศักดิ์ กับวงจีวันได้สร้างน้ำเสียงที่สะกดใจอีกครั้งหนึ่ง
ยิ่งได้ทราบว่าท่านเป็นคาธอลิกยิ่งทำให้การแสดงครั้งนี้เป็นสากลทางศาสนาและสังคมโดย
มีดนตรีเป็นเครื่องมือ หลังจากแสดงจบท่านยังได้บอกถึงสาเหตุที่มาร่วมงานระหว่างศาสนาครั้งนี้ว่า
"กำแพงมีเยอะแล้ว ผมอยากเป็นสะพานบ้าง"
================================
เสียงพิณแก้วนั้นเข้าใกล้เสียงสำเนียง spiritual entertainment ที่ผมเองคิดไว้ในใจอย่างมาก
เพราะเป็นระดับเสียงที่สูง และมีความโหยหวนแทรกซึมอยู่ในท่วงที
การเล่นนั้นต้องอาศัยความชำนาญ ใช้นิ้วชี้ นิ้วโป้งที่เปียกน้ำพอประมาณ
วาดเป็นวงไปตามขอบแก้วไวน์ ยิ่งวาดวงกว้างเท่าไหร่เสียงก็จะยืดยาวมากขึ้นเท่านั้น
ที่สำคัญทำนองที่ไพเราะขนาดนี้ อ.บอกหลังเล่นว่า
"มันคือการอิมโพรไวซ์ หลังจากได้อ่านคำสอนของท่านบทหนึ่ง"
โอ้ว...นี่แหละการเล่นโดยไม่คำนึงถึงอดีตหรืออนาคต แต่คือปัจจุบันและเป็นแรงกระทบจากอารมณ์ภายในล้วนๆ
อันที่จริงเพลงที่ได้ฟังในงานส่วนใหญ่จะเป็นการเน้นที่เนื้อหาของคำร้อง คำกลอน ที่ดัดแปลงหรือยกมาจากคำสอน
โดยมีดนตรีแขนงต่างๆเป็นแบคอัพ ผู้ฟังจะรับฟังเนื้อเพลงและซึมซับเอาคำสอนไปในขณะที่ใช้ดนตรีเป็นเครื่องช่วยย่อย
แต่การใช้ดนตรีเพื่อศาสนาล้วนๆนั้นคือสิ่งที่ผมอยากเห็นเป็นที่สุด การคิดตั้งแต่เครื่องดนตรีใดที่เหมาะแก่การใช้ คีย์ไหน
จังหวะเร็วช้าอย่างไร เสียงร้อง
เพราะเป็นเรื่องที่ต้องเข้าถึงจิตจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนได้อีกมาก
แน่นอนนี่คือการเริ่มต้น และเป็นแรงขับเคลื่อนเล็กๆที่กำลังเพิ่มทีละเล็กละน้อย
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ในอนาคตอาจจะมี ดนตรีแนว พุทธ ออกมาให้ได้ฟังกัน
แล้ววันนั้นสังคมจะเลือก
แต่เราจะรอดถึงวันนั้นไหม ใครจะรู้
===========================================
ผมออกเดินงานหนังสือ ดีใจกับคนที่มีหัวจิตหัวใจรักการอ่านเดินกันขวักไขว่
ทางเดินที่กว้างขวางดูแคบไปถนัดตา
สิ่งดีๆมารวมกันอยู่ที่นี่สองสิ่ง พร้อมๆกันในวันนี้
มันอาจดูเนืองแน่น และน่าชื่นชม
แต่ก็เป็นเพียงจุดที่เล็กที่สุดที่เกิดขึ้นในบ้านเกิดของผม
ผมฉุกคิดถึงคำพูดของ อ.
"กำแพงมีเยอะแล้ว สะพาน "
ถ้าไม่มีกำแพง
จุดที่เล็กก็จะขยายใหญ่ไม่มีหมดสิ้น
แต่ในเมื่อกำแพงยังมี
เพลง หนังสือ ดนตรี ก็คือ สะพานดีๆนี่เอง
ด้วยความเร็ว .5 เมตรต่อนาที
โดยมีพลขับเป็นป็อบ และมีผมติดสอยห้อยติ่งไปด้วย
ระยะเวลาจากรัชดาจนถึงศรีอยุธยาก็ปาเข้าไป หนึ่งชั่วโมงกว่า
ทำให้ข้าวสารดูยิ่งใกลเท่ากับไปกินข้าวซอยที่เชียงใหม่ยังไงยั่งงั้น
ระหว่างทาง คำสนทนาค่อยๆสร้างภาพลักษณืให้ต่างผู้ จากต่างถิ่นได้รู้จักกันมากขึ้น
ถ้าป็อป เป็นนักสู้คู่คุณธรรม คร่ำวิชาการ ทำเพื่อสังคม
ผมก็เป็นพวกเฮฮา เอาสนุกเข้าว่า ตามลักษณะการ "ใช้"ชีวิตให้สุขสุด
ทำไมคนต่างชนิดอย่างเราถึงมาเจอกันวะ กูล่ะงง
คนแต่ละคนที่ได้เจอ ได้ทำกิจกรรมร่วมกันนั้น ได้มีเส้นทางชีวิตพาดผ่านกันนั้น
คงแปรผันตรงกับระดับจิตที่เทียบเคียงกันไม่มากก็น้อย
"...เดือนกุมภาพันธ์ ปีหน้าจะมีคอนเสิร์ตพุทธทาส " ป็อปเอ่ย
เป็นครั้งแรกทีเดียวที่ได้ยินเรื่องน่าสนุกจากปากของชายหนุ่มคนนี้
และฉับพลันนั้น ภาพต่างๆพรั่งพรูออกจากโสตสำนึก นักดนตรีกำลังบรรเลงเพลงคำสอนของท่านพุทธทาส
สำเนียงเสียงสอดแทรกเข้ากำกับจังหวะภาพให้เพลิดเพลิน
ผมนึกวู่วามไปถึงการจัดแสง รูปแบบเวที การออกแบบอารมณ์คนดู และ ลำดับการแสดง
อืม เป็นธรรมชาติของเราเองจิง ที่เมื่อเจอเรื่องแบบนี้ ก็พลันห้ามเกาสมองแสนคันนี้ไม่ได
========================================================
การกำเนิดขึ้นของบทเพลงเพื่อศาสนานั้นมีมานาน แต่ที่เป็นจริงเป็นจังจนถึงขั้นเป็น"สไตล์" นั้น ก็เห็นจะมี Godspel
ของชาวคาธอลิก ที่ได้ยินกันคุ้นหูและได้ดูกันตามหนังฮอลลีวู้ด
นอกเหนือจากนั้นก็เป็นในรูปของ spiritual music ที่สื่ออกมาในลักษณะ instrumental
ที่ฟังแล้วอยากจะออกไปร่ายรำ กลางอากาศ แสดงการหลุดพ้นจากโลกชั่วขณะลมหายใจ
และจำพวกดนตรีบำบัดที่มีขายตามสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส
หลังจากที่ได้ยินได้ฟังว่าจะมีคอนเสิร์ตดังกล่าว ผมแอบคิดไม่ได้ว่างานนี้จะออกมาแนวไหน
=======================================
วันนี้ผมมาเดินเหงาอยู่ที่นี่
แต่วันนี้ ผมไม่ได้มาที่นี่คนเดียว
มีคนอีกเรือนแสนเดินขวักไขว่เคียงข้าง
และสามร้อยหกสิบองศา ล้วนเป็นชายคาให้เหล่าหนังสือ
ในมือถือบัตรเชิญ ที่กำลังนอนกรนอยู่ในซอง
"เชิญร่วมงานเปิดตัวอัลบั้มและชม Mini Concert ในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 11
วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม 2549 เวลา 13.00-17.00น.
เพลงพุทธทาส-เปิดดวงตา โดย จีวันแบนด์และศิลปินรับเชิญ..."
ภาพบนปกที่เป็นภาพสไตล์อียิปโบราณ (สำหรับภาพคน ศีรษะหันข้าง ลำตัว เอวหันตรง ต้นขาจนถึงเท้าหันข้าง)
มีผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งมีศีรษะเป็นดวงตานั่งบนบัลลังค์ กำลังยื่นดวงตาให้เหล่า
ผู้คนไร้หัว ที่เดินเข้ามารับหัวดวงตาไปสวมใส่ เพื่อให้หลุดพ้นจากความมืดมน
...พุทธทาส ทาสแห่งพุทธ แม้ปีนี้เป็นปีที่ครบร้อยปีชาตกาล แม่ว่ากายท่านสลาย แต่ท่านยังไม่ตาย
และท่านยังคอยส่งถ่ายดวงตาและแสงสว่างให้กับสังคมอันสว่างไสวด้วยแสงไฟ แต่กลับมืดมิดและบอดสนิท...
วันนี้เป็นวันแถลงข่าวเปิดงาน
ภายในงานคับคั่งไปด้วยแขกรับเชิญ สื่อมวลชน ศิลปินและผู้คนที่มาเดินงานหนังสือ จนเก้าอี้ภายในห้องถูกจัดไว้นั้นไม่เพียงพอ
แต่ก็ไม่มีใครเอ่ยปากบ่นอะไรเพราะถือเป็นงานบุญกลายๆ และสุขใจที่ได้มาร่วมงานกันวันนี้
อดคิดแทนผู้สนับสนุน คือสำนักพิมพ์สุขภาพใจ และทีมงาน ไม่ได้ว่าคงอิ่มใจไม่น้อย
นอกจากชื่อที่มีคำว่าพุทธทาสแล้ว คำว่าดนตรีก็ช่วยให้คนสนใจงานนี้มากขึ้นทั้งในวงกว้างและลึก
สังเกตุได้จาก ผู้ที่มาชมงานที่มีทั้งเด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ คนแก่
หลายคนอาจมาเพราะท่านพุทธทาส
หลายคนอาจมาเพราะชอบดนตรีหรือเป็นแฟนเพลงวงจีแบน
หลายคน หลายเหตุผล แต่จิตใจเดียวกัน
และคงแปรผันตรงกับระดับจิตที่เทียบเคียงกันไม่มากก็น้อย
ข้างๆผมเป็นกลุ่มวัยรุ่นกำลังตั้งหัวข้อพูดคุยกันเรื่องแนวเพลงที่จะได้ฟังวันนี้
"เฮ้ย แล้วมันจะมีคนฟังเหรอวะ เด็กรุ่นเราจะฟังเหรอวะ"
"เออ ยังไม่ได้ฟังเลย แต่ดูแล้วไม่น่าว่ะ คงได้กันในวงใน"
อืม...
ผมเองถ้าไม่ได้ป๊อปบอกมา จะรู้ไม่เนี่ยว่ามีงานนี้
มีสิ่งดีๆนี้เกิดขึ้น แต่เอาน่ะ อย่างน้อยก็ได้วงในล่ะนะ และวงในเนี่ยล่ะก็ต้องช่วย
ทลายกำแพงซะ ไม่ต้องมีใน มีนอก ที่นี้ละสนุก และสุขแน่
==================================
คุณดินป่า จีวัน เล่าถึง ประวัติความเป็นมาของโครงการ
สืบเนื่องจากเป็นการฉลองครบ 100 ปีชาตกาล พุทธทาสภิกขุ
และจากคำสนทนาในปี พ.ศ. 2487 ระหว่าง พณฯ ท่านปรีดี พนมยงค์ กับ ท่านพุทธทาส
ที่ได้สนทนากันสามวันสามคืน โดยมีประเด็นเรื่องของ
การมีเพลงเพื่อใช้ในการเผยแพร่พระพุทธศาสนา
ที่เป็นความบันเทิงอันเต็มไปด้วยรสแห่งธรรม Spiritual entertainment
ด้วยความศรัทธา จึงได้ทำเพลงในแนวทางนี้ขึ้นร่วมกับศิลปินอีกหลายชีวิต
โดยใช้เวลา 16 เดือนเต็มในการสร้างสรรค์
"หลายคนอาจพูดกันว่านี่เป็นเพลงทางเลือก เราอยากบอกว่านี่ไม่ใช่เพลงทางเลือก แต่เป็นเพลงทางรอด"
คุณดินป่าจีวันทิ้งท้าย
ในงานต่อด้วยการแสดงจินตลีลาประกอบบทเพลงอันสวยงาม
ของคุณมานพ มีจำรัส ที่สกดคนดูชั่วครู่ด้วยความอ้อนช้อยที่ผสานกับความแข็งแกร่งของผู้เต้น
ต่อด้วยการแสดงดนตรีที่ซึ่งหยิบเอาบทเพลงในทั้งสามอัลบั้มออกมาโชว์กัน
บรรเลงโดยวงจีวัน และศิลปินรับเชิญหลายท่าน
เพลง ชลุ่ยกับไม้ไผ่ ที่เชิญคุณเนาวรัตน์ พงษ์ ไพบูลย์ ออกมาขับกลอน
ประกอบเสียงขลุ่ยของอาจารย์ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี
ด้วยเนื้อหาและดนตรีที่สอดคล้องเข้ากันอย่างลงตัว
ดุจสายน้ำไหลเย็นเชี่ยวกับหมู่ปลาที่แหวกว่าย
ทำให้ตลอดการแสดงทำเอาผมขนลุกอยู่ตรงนั้นเลยทีเดียว
"เพราะเหลือเกิน"ในใจคิด
การแสดงพิณแก้วของ อ.ทวีพงษ์ ทวีศักดิ์ กับวงจีวันได้สร้างน้ำเสียงที่สะกดใจอีกครั้งหนึ่ง
ยิ่งได้ทราบว่าท่านเป็นคาธอลิกยิ่งทำให้การแสดงครั้งนี้เป็นสากลทางศาสนาและสังคมโดย
มีดนตรีเป็นเครื่องมือ หลังจากแสดงจบท่านยังได้บอกถึงสาเหตุที่มาร่วมงานระหว่างศาสนาครั้งนี้ว่า
"กำแพงมีเยอะแล้ว ผมอยากเป็นสะพานบ้าง"
================================
เสียงพิณแก้วนั้นเข้าใกล้เสียงสำเนียง spiritual entertainment ที่ผมเองคิดไว้ในใจอย่างมาก
เพราะเป็นระดับเสียงที่สูง และมีความโหยหวนแทรกซึมอยู่ในท่วงที
การเล่นนั้นต้องอาศัยความชำนาญ ใช้นิ้วชี้ นิ้วโป้งที่เปียกน้ำพอประมาณ
วาดเป็นวงไปตามขอบแก้วไวน์ ยิ่งวาดวงกว้างเท่าไหร่เสียงก็จะยืดยาวมากขึ้นเท่านั้น
ที่สำคัญทำนองที่ไพเราะขนาดนี้ อ.บอกหลังเล่นว่า
"มันคือการอิมโพรไวซ์ หลังจากได้อ่านคำสอนของท่านบทหนึ่ง"
โอ้ว...นี่แหละการเล่นโดยไม่คำนึงถึงอดีตหรืออนาคต แต่คือปัจจุบันและเป็นแรงกระทบจากอารมณ์ภายในล้วนๆ
อันที่จริงเพลงที่ได้ฟังในงานส่วนใหญ่จะเป็นการเน้นที่เนื้อหาของคำร้อง คำกลอน ที่ดัดแปลงหรือยกมาจากคำสอน
โดยมีดนตรีแขนงต่างๆเป็นแบคอัพ ผู้ฟังจะรับฟังเนื้อเพลงและซึมซับเอาคำสอนไปในขณะที่ใช้ดนตรีเป็นเครื่องช่วยย่อย
แต่การใช้ดนตรีเพื่อศาสนาล้วนๆนั้นคือสิ่งที่ผมอยากเห็นเป็นที่สุด การคิดตั้งแต่เครื่องดนตรีใดที่เหมาะแก่การใช้ คีย์ไหน
จังหวะเร็วช้าอย่างไร เสียงร้อง
เพราะเป็นเรื่องที่ต้องเข้าถึงจิตจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนได้อีกมาก
แน่นอนนี่คือการเริ่มต้น และเป็นแรงขับเคลื่อนเล็กๆที่กำลังเพิ่มทีละเล็กละน้อย
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ในอนาคตอาจจะมี ดนตรีแนว พุทธ ออกมาให้ได้ฟังกัน
แล้ววันนั้นสังคมจะเลือก
แต่เราจะรอดถึงวันนั้นไหม ใครจะรู้
===========================================
ผมออกเดินงานหนังสือ ดีใจกับคนที่มีหัวจิตหัวใจรักการอ่านเดินกันขวักไขว่
ทางเดินที่กว้างขวางดูแคบไปถนัดตา
สิ่งดีๆมารวมกันอยู่ที่นี่สองสิ่ง พร้อมๆกันในวันนี้
มันอาจดูเนืองแน่น และน่าชื่นชม
แต่ก็เป็นเพียงจุดที่เล็กที่สุดที่เกิดขึ้นในบ้านเกิดของผม
ผมฉุกคิดถึงคำพูดของ อ.
"กำแพงมีเยอะแล้ว สะพาน "
ถ้าไม่มีกำแพง
จุดที่เล็กก็จะขยายใหญ่ไม่มีหมดสิ้น
แต่ในเมื่อกำแพงยังมี
เพลง หนังสือ ดนตรี ก็คือ สะพานดีๆนี่เอง
Friday, October 27, 2006
Subscribe to:
Posts (Atom)