Thursday, November 09, 2006

ค่ายห้องสมุดดิน

พี่ไก้เซิ้งคับเซิ้ง
ปาล์มมี่ จักจี้ จิฟฟี่ ตูมตู้ม
สามสาวขาประจำ
ข้าวหลามบ้านๆ จกกินกันอยู่สี่ห้าคน
ดีคับผม เหมาะสมคับลุง ลุงเจ๋งจิง
หนังสือบนชั้นในเรือนนอน เล่มไกลนั้น เป็นของเด็กๆทำกันเองน่ารักมากๆ
หลับคาไดอารี่เลยคับ
ปลาดุกอร่อยมากกกกกกกกกกกกกกกก โชว์ฝีมือโดยจัมโบ้
ต้นกล้าข้าวที่หลังบ้านลุง สุ่น
ผลงานที่ได้ แหม!ภูมิใจ
ขนาดคนกะขนาดบ่อมันพอดิบพอดี จิง
พี่อะตอม ณ บ่อดิน
พี่แก้ว สมาชิกรักษ์เขาชะเมาตัวจิง
ค่ายเขาชะเมา อาหารทุกมื้อเลิศรสๆ
เจ้าซูโม่ แต่งหน้ามาเข้ากล้อง
อุปกรณ์ถ่าย ทอดความในใจ
โอ้ว!ของเขาลุยจิง
จิตอาสาบนถุงเป็นพระเอก โดยมี นุ้งนิ้งกับเล็ก เป็นฉากหลัง

Tuesday, November 07, 2006

สิ่งมีชีวิต

บันทึกเรื่องราวการออกค่ายอาสาสร้างห้องสมุดดิน กลุ่มรักษ์เขาชะเมา

วันนี้ฉันตื่นขึ้นด้วยอารมณ์ที่แจ่มใส แม้ผิวกายจะเริ่มแห้งกร้านเพราะแรงแห่งลมหนาว แจ่มใสเพราะอะไรน่ะหรือ เพราะวันนี้เป็นวันเริ่มค่ายห้องสมุดดินอีกครั้ง ฉันรอคอยวันนี้ วันที่ทุกคนจะกลับมาหลังจากที่ค่ายห้องสมุดดินคราก่อนได้ทำอิฐ ก่อผนังไปแล้วบางส่วน คราวนี้จะสูงขึ้นอีกเท่าไรกัน จะมากกว่าคราวที่แล้วมั๊ยน้อ

บ้านดินที่เสร็จเรียบร้อยไปแล้วหลังหนึ่งนั้นตั้งงามเด่นอยู่ฝั่งซ้ายของทางเข้า เบียดบังเจ้าลีลาวดีและหูกวางวัยละอ่อนต้นนั้นให้เอียงอาย อีกฝั่งหนึ่งเป็นบ่อน้ำที่เต็มไปด้วยต้นหญ้าชูชันขยันกันพ้นน้ำ ดูเผินๆเหมือนเป็นผืนดิน ใครเดินไม่ดี ก็จะมีคนตกน้ำให้ดูละทีนี้

บ่อน้ำ บ้านดิน เราเป็นญาติกันอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะดินที่รังสรรค์สถาปัตยกรรมชิ้นเอกนั้นก็ไม่ได้ขนถ่ายมาจากแห่งหนใด หากแต่ถูกตัก ถูกคลุกเคล้า จากดินที่เคยถมเต็มบ่อนั้นเอง เมื่อดินเหล่านั้นได้ห่มคลุมปกป้องผู้คน เจ้าบ้อก็กลายเป็นบ้านหลังน้อยๆให้เจ้าปลาชนิดต่างๆได้อาศัย

ไม่ว่าจะต้นไม้ ใบหญ้า เหล่าปลา หรือสัตว์โลกย่อมอาศัยดินเป็นเสมือนบ้าน ที่คอยค้ำชูและเป็นที่พัก
อย่างเขาว่ากัน ไม่มีที่ใดสุขเท่าที่บ้าน(ดิน)

แว่วเสียงเครื่องยนต์ ไม่นานนัก รถตู้ รถกระบะ เริ่มทยอยเข้าสู่ลานกลางของกลุ่มรักษ์เขาชะเมา ทำให้ลานกว้างดูแน่นขนัดไปทันตา ไม่นานนักเหล่าคนใจดีก็เดินออกมายืดเส้นยืดสายและพักผ่อนให้หายเหนื่อย น้ำฝางใส่น้ำแข็งและขนมสอดใส่อีกนั่นที่ปลิดเอาความง่วง หาว หนาว เหนื่อย ออกไปสิ้น

เหล่าอาสาและเหล่าสมาชิกรักษ์เขาชะเมารวมตัวกันในบ้านดินหลังนั้น เพื่อทำความรู้จักซึ่งกันและกัน ชื่อ และสถาบันคงเป็นสิ่งที่หล่อหลอมภาพลักษณ์ของกันและกันได้เร็วที่สุด บางครั้งก็เป็นทางลัดให้เข้าใจกันแต่ก็มีบางทีเป็นเกราะ เพราะภาพลักษณ์ที่ห่มไว้ไม่ต้องใจกัน

แต่ไม่สำคัญสักนิด ถ้าเราทิ้งตัวตนแล้วมุ่งสู่จุดหมายเดียวกัน

บ่ายวันนั้นชาวอาสาเริ่มเรียงรายเข้าสู่ ลานห้องสมุดดิน หลุมจากค่ายก่อนที่ฉ่ำน้ำราวตาตุ่มถูกวิดออก เพื่อใช้งานต่อ เริ่มจากการใช้ชายแรงดีพร้อมจอบเสียม ช่วยกันตัด ขุด เฉาะ เอาดินรอบๆลงมากองรวมไว้ที่กลางบ่อ ดินที่อยู่ใต้พื้นจะจับตัวกันแน่นเหนียวเป็นพิเศษ ยิ่งดินร่วนละเอียดเท่าไรขั้นตอนต่อไปคือ การย่ำก็จะทำได้ง่ายขึ้น
เมื่อดินเริ่มทับถมจมรวมได้ที่ เหล่าอาสาก็ได้เวลาประชุมตีน น้ำช่วยหล่อลื่นและแทรกซึมให้ดินแตกตัวออกจากกัน ใส่พอให้เหยียบแล้วนุ่ม เย็นเท้า อย่าให้มากเกินไปเชียว เพราะถ้าดินเหลวเกิน ไม่จับตัว จะแก้กันก็ต้องตักดินมาเพิ่มแล้วเริ่มใหม่ เหนื่อยกันอีกที

เจ้าใส้เดือนเพื่อนฉัน ใส้เดือนที่มีหน้าที่ไชดินให้ร่วนซุย เพื่อรากไม้ได้เหยียดเท้าหยั่งลึก บัดนี้มันได้ถูกเหยียบถูกย่ำ ถูกตัด บนกองดินนั่น แต่ฉันรู้เหลือเกินว่ามันเต็มใจที่จะตาย เพื่อประโยชน์ที่มากกว่านั้น เจ้าใส้เดือนอยากเห็นบ้านดิน อยากเห็นเด็กน้อยมีการศึกษา เธอยิ้มให้ฉันในวินาทีสุดท้ายและรู้ฉันไม่ได้คิดไปเอง สีแดงจากใส้เดือนเมื่อถูกย่ำเหยียบ ไม่นานซากและคราบเลือดก็กลืนไปกับดินจนแยกมิออก ไม่ต่างจากสรรพชีวิตที่ร่วมหัวจมท้ายในบ่อนี้



แกลบเป็นส่วนผสมอีกส่วนเพื่อให้ดินจับตัวแข็งแรงและน้ำหนักเบา เปรียบเหทียบก็เหมือน ที่จับที่ยึดให้เหล่ามูลดิน การผสมก็ผสมให้เหนียวกว่าคราวแรกที่เป็นดินล้วนๆ เมื่อเหยียบดินกับแกลบพอเป็นเนื้อเดียวแล้ว วัดโดยการเหยียบเป็นรอยดู ถ้าไม่คืนรูป ทิ้งตัวลงมาหรือติดเท้าเป็นก้อนก็เป็นอันใช้ได้ ดินถูกลำเลียงใส่ถังนำไปยึดดินก้อนที่ตากแห้งแล้วเพื่อก่อเป็นอิฐ ยึดดินกับดิน และนำไปเข้าบล็อคไม้เพื่อทำเป็นอิฐ ต่อไป

ไม่เพียงแต่แกลบ ดินน้ำ เท่านั้นที่เป็นส่วนผสม สำหรับดินก้อนที่ดีมีประสิทธิภาพ แต่เหงื่อจะความเหน็ดเหนื่อย เวลาที่ใช้ร่วมกัน รอยยิ้มที่ร่วงโปรยผนวกกับเสียงหัวเราะ นั้นต่างหากที่ทำให้ดินเป็นดิน ทำให้ดินเป็นเพื่อน ทำให้ดินมีชีวิต เฉกเช่นเดียวกับปู่ ย่า ตา ทวด พี่ น้อง เครือญาติและเพื่อนของฉัน ที่ถูกชุบชีวิตและกระจัดกระจายไปทำหน้าที่อยู่ตามก้อนอิฐ ดินฉาบ ที่บ้านดินหลังนั้นและห้องสมุดที่กำลังก่อขึ้น

ฉันได้เพียงเฝ้ามองดูสองมือ สองเท้านั้นแสนมหัศจรรย์ การเกิดมาเป็นคนนี่ดีนักแล จะทำสิ่งใดก็ทำสำเร็จได้โดยง่าย ไม่ว่างานจะยากซักแค่ไหน เธอจะรู้ไหมว่าฉัน แดดที่พาดผ่าน ลมที่พัดพริ้ว พืชพรรณไพร แม้กระทั่งจิ้งจกและหมาตัวนั้น ต่างแอบเฝ้ามองดูพวกเธอ คอยให้ความสนับสนุนอยู่ห่างๆ และช่วยเหลือเท่าที่จะทำให้ได้ เธฮขาดฟืนก็ตัดไม้ไป กระหายก็ตักน้ำไป หิวก็จับปลาเด็กผักไป พวกเราแอบปลื้มกับจิตใจอันดีงามเหล่านั้น ฉันดีใจที่ฉันได้อาศัยอยู่ที่นี่ ที่ๆมีสังคมที่เต็มไปด้วยคนดี เพราะอย่างน้อยฉันก็เป็นเศษส่วนเล็กๆที่ทำให้น้องๆที่นี่ได้วิ่งเล่น เหยียบย่ำ มากว่า12 ปีแล้ว จากเด็กตัวเล็กๆวันนั้น ตอนนี้เติบใหญ่เข้ามหาวิทยาลัย มีมากที่ทำงานแล้ว เจ้าตัวเล็กรุ่นใหม่ก็น่าเอ็นดูไม่น้อย

แอบคิดเสมอ ว่าโตแล้วเธออยากเป็นอะไร ครู ตำรวจ หรือเปล่านะ ส่วนฉัน ฉันอยากเป็นบ้านให้เธอ เป็นห้องสมุด เป็นสิ่งที่เธอจะให้ฉันเป็น ฉันเฝ้ารอและเฝ้ามองถึงวันนั้น
เพราะตัวตนของฉันคือความฝันของเธอ

บ่อดินที่ผสมไว้เมื่อครู่ถูกตักไปจนหมด ชายร่างใหญ่ถือจอบ เดินอาดๆ ตรงมาที่เพื่อนๆที่รักของฉัน เธอกำมือฉันแน่นหลับตาพริ้ม ฉันแอบเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของเธฮ
“เวลาของฉันใกล้จะมาถึงแล้วล่ะ อีกไม่นานนัก อีกไม่นาน”
เธอบอกฉัน ฉันกล่าวลา ไม่นานนัก เธอก็ร่วงลงสู่บ่อดิน

สเน่ห์ของบ้านดินคือการดำเนินชีวิตระหว่างดินกับคนควบคู่ไปกับธรรมชาติ แน่นอนว่าธรรมชาติของดินย่อมต้องอาศัยตามลักษณะแรงดึงดูดและถูกกำหนดตามรูปแบบของเปลือกโลกที่ขึ้นตามภูมิประเทศต่างๆ การเปลี่ยนการจับตัวของดินให้อยู่ในแนวตั้งนั้นย่อมเกิดปัญหาการกัดเซาะ กระเทาะหลุดเป็นธรรมดา เมื่อคนสร้างบ้านดินขึ้นมาจึงต้องหมั่นอยู่ดูแล ซ่อมแซมอยู่เป็นนิจ ตรงไหนหลุดร่อน ก็ไปผสมมาปะ มายัดใหม่ เมื่อแห้งก็ใหม่เอี่ยมเหมือนเดิม ไม่ต่างอะไรกับการเลี้ยงดูกันและกัน

เสียงเครื่องดนตรี ดังเสนาะ มาจากศาลากลาง ฉันยังคงนั่งคอยอยู่ที่เดิม ชายตามองขึ้นไปตามเสียงนั้น คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้วที่เหล่าอาสาจะพักแรม หลังจากกินมื้อเย็นอันแสนอร่อยเอร็ด ก่อนจากมีการจัดการแสดงสันทนาการเล็กๆเริ่มโดยการรำของสาวน้อยสองคน ต่อด้วยน้องตัวเล็กวัยห้าขวบ การสีไวโอลิน และการแสดงผสมผสานระหว่างคนกับหุ่นเชิด สร้างความบันเทิง ให้กับผู้มาเยือน ปิดท้ายด้วยการแสดงของเหล่าอาสาแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม การแสดงสนุกสนานเพลิดเพลินเช่นกัน แม้จะเตรียมการกันอย่างฉุกละหุก แต่ผลที่ได้ คือ เสียงหัวเราะและการแสดงที่พอเอาตัวรอดแบบไม่อายเด็ก ก่อนปิดการแสดงมีการกล่าวขอบคุณกันและกัน สีหน้าที่สังเกตุได้คงพอเป็นคำตอบว่าพวกเขามีความสุขกันเพียงใด ฉันเองพลอยดีใจไปด้วย คืนนั้น ผู้คนเริ่มทยอยไปนอน คนที่ยังไม่ง่วงก็นั่งเขียนสมุดค่าย บ้างก็เล่นดนตรี แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน อากาศไม่ร้อนไม่หนาว คืนนี้ไม่มีดาวมีเดือน แต่ดวงจันทร์เริ่มเต็มดวง วันเพ็ญเดือนสิบสองแล้วนี่ วันนี้วันลอยกระทงแล้ว พวกเขา จะแยกย้ายกันกลับไปลอยกระทงกันไหม ที่กรุงเทพงานลอยกระทงคงเหมือนที่นี่กระมัง งานน่ารักๆ แบบงานวัดที่เคยได้ฟัง เสียงจิ้งหรีดคืนนี้ไม่ระงม มีเพียงเสียงกบเสียงกรนกล่อมทั่วทุ่ง ราวตีสี่ทั่วบริเวณก็มืดสนิท มีเพียงฉันที่ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ

คนพวกนี้เป็นใครกันหนอ ทำไมเขาถึงได้มาเจอกัน ฉันไม่เคยพบไม่เคยเห็น มาแล้วก็จากไป มีหลายคนกลับมา บางคนหายไป บางคนเกิด บางคนตาย อยู่อย่างนี้ ฉันเองไม่มีอายุขัย ไม่มีเกิด ไม่มีตาย ไม่มีแม้กระทั่งตัวเอง ฉันอยู่ตรงนี้ มีชีวิตเพื่อตรงนี้ มีหน้าที่ที่ถูกกำหนดมาตั้งแต่เริ่ม มันดีไหมหนอที่ค้นพบตัวตนได้โดยมิต้องแสวงหา อย่างคนเขาต้องแสวงต้องหา ต้องค้นกว่าจะเจอตัวตนที่ควรเป็น ที่อยากเป็น อยากมี แต่ฉันเป็นดิน อย่างเก่งก็ไปเป็นดินเหนียว ดินร่วน ดินปนทราย ดินตมให้น้ำแล้วแต่สถานการณ์ อายุขัยก็แสนยาวนาน นานจนฉันไม่สนใจ ฉันอาจจะอายุหลายล้านปี แต่นั่นอาจจะเป็นวัยเด็กของดินอย่างฉัน ตอนนี้ฉันปวดหัวจังไม่รู้จักเรียกคนเหล่านั้นว่าอย่างไร

พี่ เพื่อน น้อง ปู่ หลาน หรือหลานดี

เช้าวันใหม่เริ่มอีกครั้งทุกคนตื่นขึ้นเองโดยไม่ต้องมีคนมาปลุก ลุกขึ้นทำภารกิจส่วนตัวแล้วก็หางานที่จะช่วยเหลือกันก่อนจะกินมื้อเช้า ข้าวต้มควันฉุยนั้นมีคนเติมไม่หยุดหย่อน รสชาติเป็นอย่างไรฉันอยากรู้จริง แต่ดูท่าถูกปากไม่หยอก หลังมื้อเช้า ทุกคนนั่งเป็นวงกลมเพื่อเฉลยบัดดี้ ที่แอบดูแลกันมาตลอดสามวัน บางคนเดาถูก บางคนเดาผิด สนุกสนานกันไป ศาลาแห่งนี้จึงดูเหมือนบ้านหลังใหญ่ ที่มีครอบครัวอาสาอาศัยอยู่
และไม่ว่าจะต้นไม้ ใบหญ้า เหล่าปลา หรือสัตว์โลกย่อมอาศัยดินเป็นเสมือนบ้าน ที่คอยค้ำชูและเป็นที่พัก
จวบจนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิตเราจึงกลับกลายเป็นผงดิน
ต้นทางจากท้องแม่สุดท้ายทุกคนก็เพียงผงฝุ่น ชีวิตก็เท่านี้ ไม่ว่าจะสูงเสียดฟ้ามาจากไหน ก็ต้องถูกเหยียบถูกย่ำเข้าซักวัน ดินหรือบ้าน ก็คือปลายทาง ส่วนระหว่างทางผงนั้นได้ทำคุณค่า หรือทำลาย เหล่านั้นเธอรู้ดี

แต่ที่แน่ๆไม่มีที่ไหนสุขเท่าอยู่บ้าน

ทุกคนเริ่มลงมาเหยียบมาย่ำดินกันอีกครั้ง ด้วยแรงงานแรงใจที่เต็มเปี่ยม วันนี้เขาผสมดินได้มากขึ้นกว่าเดิม บ่อดินจากหนึ่งบ่อ ตอนนี้เป็นสามบ่อ ความเหนื่อยล้าแสดงให้เห็นอยู่บ้างแต่รอยยิ้มนั้นซิชัดเจนกว่าสิ่งใด ไม่นานถังก็วางเรียงรายรอการลำเลียงอีกครั้ง อิฐถูกทำและตากแดดไว้มากขึ้นๆ อิฐถูกก่อสูงขึ้นเล็กน้อย แต่ความสัมพันธ์ระหว่างกลับมากขึ้นจนนับกันไม่ถ้วน

ได้เวลาพักกินขนมตาล และน้ำอัญชัน ทุกคนพละมือ จากอุปกรณ์พักผ่อนพูดคุยกันในร่ม กินขนมทั้งๆที่เนื้อตัวมอมแมม

ดินที่ผสมไว้เมื่อครู่ถูกตักไปจนหมดแล้ว ชั่วครู่ชายร่างใหญ่ถือจอบตรงมาที่ๆฉันนั่งอยู่ ฉันกำมือเพื่อนแน่นหลับตาพริ้มพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“เวลาของเธอใกล้จะมาถึงแล้วล่ะ อีกไม่นานนัก อีกไม่นาน”
ชายคนนั้นเดินมาใกล้ๆ กระซิบเบาๆ



ค่ายอาสาสร้างห้องสมุดดิน กลุ่มรักษ์เขาชะเมา
อำเภอแกลง จังหวัดระยอง

Thursday, November 02, 2006

Everybody gotta learn sometime


Ost.Eternal sunshine of the spotless mine
Everybody's Gotta Learn Sometimes
Artist: Beck
Change your heart
Look around you
Change your heart
It will astound you
I need your lovin'
Like the sunshine
Everybody's gotta learn sometime
Everybody's gotta learn sometime
Everybody's gotta learn sometime
Change your heart
Look around you
Change your heartWill astound
youI need your lovin'
Like the sunshine
Everybody's gotta learn sometime
Everybody's gotta learn sometime
Everybody's gotta learn sometime
I need your lovin'
Like the sunshine
Everybody's gotta learn sometime
Everybody's gotta learn sometime
Everybody's gotta learn sometime
Everybody's gotta learn sometime
Everybody's gotta learn sometime
Everybody's gotta learn sometime
Everybody's gotta learn sometime
Everybody's gotta learn sometime

Wednesday, November 01, 2006

24


24 (twenty-four)คือ ชื่อซีรี่สุดฮิตของ fox ช่องทีวียอดฮิตของอเมริกา เป็นหนังเรื่องล่าสุดที่ได้ดูจบไป อันที่จริงผมเพิ่งดูไปเพียงซีซั่นเดียวจากทั้งหมด 6 ซีซั่น ชื่อเรื่อง 24 มาจาก 24 hours ใน 24 ชม.ก็คือ 1 วัน และเป็นความยาวของซีรี่ 1 ซีซั่น พอดิบพอดี โดยดำเนินเรื่องจะดำเนินตั้งแต่ 8 โมงเช้า และไปจบที่ 8 โมงเช้าของวันถัดมา

เรื่องราวโดยรวมของซีซั่นนี้ พูดถึง แผนการก่อการร้ายที่จะมีการจุดระเบิดนิวเคลียร์ขึ้นในลอสแองเจิลลิสภายใน 1 วัน ทำให้ คิม บาวเออร์ ซึ่งถอนตัวจากการเป็นนักสืบสวนไล่ล่าขององค์กร CTU (องค์กรปราบปรามการก่อการร้าย) ถูกรียกตัวกลับมารับใช้ชาติอีกครั้ง ภารกิจครั้งนี้นอกจากจะมีการติดตามการสืบสวนของบาวเออร์แล้ว ผกก ยังใช้สถานการณ์ ของตัวละคร เช่น คิมเบอลี่ บาวเออร์(ลูกสาวคิม บาวเออร์) ที่พยายามจะหนีออกจากลอสเองเจอลิส เพื่อเอาชีวิตรอด จอร์จ เมสัน ผอ.CTU กับการเป็นหน่วยงานสนับสนุนคิม บาวเอร์ ประธานาธิบดีพาล์มเมอร์ ที่ชิงไหวชิงพริบทางด้านการเมืองทั้งในและต่างประเทศ ที่เต็มไปด้วยคลื่นใต้น้ำ ครอบครัววอร์เนอร์ ครอบครัวที่ดูแสนจะอบอุ่นแต่เบื้องหลังพัวพันไปกับการก่อการร้าย การดำเนินเรื่องนั้นเต็มไปด้วยอรรถรส เพราะมีสถานการณ์ให้เราต้องติดตามอยู่ตลอด ทำให้ผมนั้นอดนอนไปหลายคืน เพราะ อดใจไม่ดูต่อไม่ได้ เรื่องราวดูเหมือนจะจบที่การพบระเบิดและระเบิดถูกทำลาย แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น มีการใช้หลักฐานลวง ว่าระเบิดเกิดจากการร่วมมือกันของสามชาติอาหรับ ทำให้ ปธ.จำเป็นต้องประกาศสงครามแต่ในท้ายที่สุด คิม บาวเออร์ ก็พบหลักฐาน ชิ้นสำคัญที่ทำให้สงครามโลกครั้งที่สามไม่เกิด และผู้สมคมคิดตัวใหญ่ถูกวิสามัญ เรื่องทิ้งท้ายที่ฉากการแถลงข่าวของชาววันใหม่โดย ปธ พาล์มเมอร์ หลังจากปราศรัยแสร็จ ก็ทักทายปรชาชนโดยการจับมือ หลังจากเดินผ่านฝูงชนเพื่อขึ้นรถ ปธ.ล้มลงพร้อมกับมือที่สภาพเหมือนถูกเชื้อโรคร้ายแรง

ดูมันซิครับผมดูมา 24 ชม. มันมาจบอย่างนี้ ทำให้ผมอดใจไม่ได้ที่ต้องฝากจิมซื้อ ซี่ซั่น 1-4 มาจากแม่สาย เพื่อมาดูต่อ ตั้งใจว่าจะเริ่มดูตอนแปดโมงโดยไม่ทำอะไร แล้วพอจบซีซั่นค่อยหลับนอน (แต่อาจจะอดใจดูซีซั่นต่อไปไม่ไหว)

สิ่งสำคัญที่ทำให้หนังเรื่องนี้น่าสนใจอย่างยิ่งคือ บทละคร
แม้ว่าพลอทเรื่องจะเป็นลักษณะเดิมๆ ของหนังฮอลลีวูด คือ มีผู้ก่อการร้าย ระเบิด ประธานาธิบดี นาวเอก
แต่เรื่องนี้มีความลึกในเรื่องจิตวิทยาของคนอย่างมาก ไม่ว่าตัวละครจะเด่นจะดับขนาดไหน แต่การแสดง
และบทที่ถูกเขียนนั้น ทำให้เรารู้สึกได้ถึงความจริงในโลกสมมุติ ตัวละครมีความลึกและมีชีวิตจิตใจ
มีความสั่นไหวโอนเอียง มีความริษยา โกรธ เก็บกด ครบทุกส่วน และทำให้เรารู้สึกเป็นคนอเมริกันคนนึงโดยปริยาย

อันที่จริงหนังเรื่องนี้มีความสมบูรณ์ในตัว แต่โดยส่วนตัวก็ชอบการกำกับและเขียนบท
และเป็นเรื่องที่แนะนำให้ไปดูกัน รับรองว่าไม่เสียเวลา

อาจจะง่วงเล็กน้อยตอนไปทำงาน แต่ก็คุ้มครับ รับรอง

ประชุม

วันนี้ประชุมกันได้ยาวนานมาก(จาก ห้าโมงจนถึงสามทุ่ม)
เป็นระยะเวลาที่ยาวนานแต่ก็ผ่านไปรวดเร็วใช้ได้
ผลจากการนั่งสนทนา
ทำให้ความเข้าใจเริ่มเกิดขึ้นแล้ว(คงงั้น)
อย่างน้อยมันก็ทำให้เราได้ใช้เวลาด้วยกันมากขึ้น คุ้นเคยกันมากขึ้น
เพราะนอกจากจะเข้าใจงาน
เราจำเป็นต้องเข้าใจเพื่อนร่วมงานไปในชั่วขณะเดียวกัน

ผมเอง เป็นคนใหม่ที่สุดที่ได้เข้ามาจับงาน "อาสา"
ทั้งที่ไม่เคยได้ใกล้เคียงมาก่อน
พูดจิงๆก็ยังไม่ซาบซึ้งกับการให้ซักเท่าไร
แต่สิ่งนี้แหละเป็นสิ่งดีๆที่ผมอยากมาทำ

ทำให้คนอื่นได้รู้จักการให้
ทำให้คนอื่นมีรอยยิ้ม
ทำอย่างไรก็ได้ ให้คนอย่างผม
น้อยลง น้อยลง...
เป็นอีกคนที่มีค่าควรแก่สังคม
มากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น...

ขอบคุณทรูมูฟที่เอื้อเฝื้อสถานที่