Saturday, October 28, 2006

เปิดดวงตา เปิดดวงใจ ไปกับบทเพลงพุทธทาส

ผมอยู่บนรถที่กำลังตรงดิ่งไปยังที่ประชุมย่านข้าวสาร
ด้วยความเร็ว .5 เมตรต่อนาที
โดยมีพลขับเป็นป็อบ และมีผมติดสอยห้อยติ่งไปด้วย
ระยะเวลาจากรัชดาจนถึงศรีอยุธยาก็ปาเข้าไป หนึ่งชั่วโมงกว่า
ทำให้ข้าวสารดูยิ่งใกลเท่ากับไปกินข้าวซอยที่เชียงใหม่ยังไงยั่งงั้น

ระหว่างทาง คำสนทนาค่อยๆสร้างภาพลักษณืให้ต่างผู้ จากต่างถิ่นได้รู้จักกันมากขึ้น
ถ้าป็อป เป็นนักสู้คู่คุณธรรม คร่ำวิชาการ ทำเพื่อสังคม
ผมก็เป็นพวกเฮฮา เอาสนุกเข้าว่า ตามลักษณะการ "ใช้"ชีวิตให้สุขสุด

ทำไมคนต่างชนิดอย่างเราถึงมาเจอกันวะ กูล่ะงง
คนแต่ละคนที่ได้เจอ ได้ทำกิจกรรมร่วมกันนั้น ได้มีเส้นทางชีวิตพาดผ่านกันนั้น
คงแปรผันตรงกับระดับจิตที่เทียบเคียงกันไม่มากก็น้อย

"...เดือนกุมภาพันธ์ ปีหน้าจะมีคอนเสิร์ตพุทธทาส " ป็อปเอ่ย

เป็นครั้งแรกทีเดียวที่ได้ยินเรื่องน่าสนุกจากปากของชายหนุ่มคนนี้
และฉับพลันนั้น ภาพต่างๆพรั่งพรูออกจากโสตสำนึก นักดนตรีกำลังบรรเลงเพลงคำสอนของท่านพุทธทาส

สำเนียงเสียงสอดแทรกเข้ากำกับจังหวะภาพให้เพลิดเพลิน
ผมนึกวู่วามไปถึงการจัดแสง รูปแบบเวที การออกแบบอารมณ์คนดู และ ลำดับการแสดง


อืม เป็นธรรมชาติของเราเองจิง ที่เมื่อเจอเรื่องแบบนี้ ก็พลันห้ามเกาสมองแสนคันนี้ไม่ได

========================================================
การกำเนิดขึ้นของบทเพลงเพื่อศาสนานั้นมีมานาน แต่ที่เป็นจริงเป็นจังจนถึงขั้นเป็น"สไตล์" นั้น ก็เห็นจะมี Godspel
ของชาวคาธอลิก ที่ได้ยินกันคุ้นหูและได้ดูกันตามหนังฮอลลีวู้ด
นอกเหนือจากนั้นก็เป็นในรูปของ spiritual music ที่สื่ออกมาในลักษณะ instrumental
ที่ฟังแล้วอยากจะออกไปร่ายรำ กลางอากาศ แสดงการหลุดพ้นจากโลกชั่วขณะลมหายใจ
และจำพวกดนตรีบำบัดที่มีขายตามสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส

หลังจากที่ได้ยินได้ฟังว่าจะมีคอนเสิร์ตดังกล่าว ผมแอบคิดไม่ได้ว่างานนี้จะออกมาแนวไหน
=======================================

วันนี้ผมมาเดินเหงาอยู่ที่นี่
แต่วันนี้ ผมไม่ได้มาที่นี่คนเดียว
มีคนอีกเรือนแสนเดินขวักไขว่เคียงข้าง
และสามร้อยหกสิบองศา ล้วนเป็นชายคาให้เหล่าหนังสือ
ในมือถือบัตรเชิญ ที่กำลังนอนกรนอยู่ในซอง

"เชิญร่วมงานเปิดตัวอัลบั้มและชม Mini Concert ในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 11
วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม 2549 เวลา 13.00-17.00น.
เพลงพุทธทาส-เปิดดวงตา โดย จีวันแบนด์และศิลปินรับเชิญ..."

ภาพบนปกที่เป็นภาพสไตล์อียิปโบราณ (สำหรับภาพคน ศีรษะหันข้าง ลำตัว เอวหันตรง ต้นขาจนถึงเท้าหันข้าง)
มีผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งมีศีรษะเป็นดวงตานั่งบนบัลลังค์ กำลังยื่นดวงตาให้เหล่า
ผู้คนไร้หัว ที่เดินเข้ามารับหัวดวงตาไปสวมใส่ เพื่อให้หลุดพ้นจากความมืดมน

...พุทธทาส ทาสแห่งพุทธ แม้ปีนี้เป็นปีที่ครบร้อยปีชาตกาล แม่ว่ากายท่านสลาย แต่ท่านยังไม่ตาย
และท่านยังคอยส่งถ่ายดวงตาและแสงสว่างให้กับสังคมอันสว่างไสวด้วยแสงไฟ แต่กลับมืดมิดและบอดสนิท...

วันนี้เป็นวันแถลงข่าวเปิดงาน
ภายในงานคับคั่งไปด้วยแขกรับเชิญ สื่อมวลชน ศิลปินและผู้คนที่มาเดินงานหนังสือ จนเก้าอี้ภายในห้องถูกจัดไว้นั้นไม่เพียงพอ
แต่ก็ไม่มีใครเอ่ยปากบ่นอะไรเพราะถือเป็นงานบุญกลายๆ และสุขใจที่ได้มาร่วมงานกันวันนี้
อดคิดแทนผู้สนับสนุน คือสำนักพิมพ์สุขภาพใจ และทีมงาน ไม่ได้ว่าคงอิ่มใจไม่น้อย

นอกจากชื่อที่มีคำว่าพุทธทาสแล้ว คำว่าดนตรีก็ช่วยให้คนสนใจงานนี้มากขึ้นทั้งในวงกว้างและลึก
สังเกตุได้จาก ผู้ที่มาชมงานที่มีทั้งเด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ คนแก่
หลายคนอาจมาเพราะท่านพุทธทาส
หลายคนอาจมาเพราะชอบดนตรีหรือเป็นแฟนเพลงวงจีแบน
หลายคน หลายเหตุผล แต่จิตใจเดียวกัน
และคงแปรผันตรงกับระดับจิตที่เทียบเคียงกันไม่มากก็น้อย

ข้างๆผมเป็นกลุ่มวัยรุ่นกำลังตั้งหัวข้อพูดคุยกันเรื่องแนวเพลงที่จะได้ฟังวันนี้
"เฮ้ย แล้วมันจะมีคนฟังเหรอวะ เด็กรุ่นเราจะฟังเหรอวะ"
"เออ ยังไม่ได้ฟังเลย แต่ดูแล้วไม่น่าว่ะ คงได้กันในวงใน"

อืม...
ผมเองถ้าไม่ได้ป๊อปบอกมา จะรู้ไม่เนี่ยว่ามีงานนี้
มีสิ่งดีๆนี้เกิดขึ้น แต่เอาน่ะ อย่างน้อยก็ได้วงในล่ะนะ และวงในเนี่ยล่ะก็ต้องช่วย
ทลายกำแพงซะ ไม่ต้องมีใน มีนอก ที่นี้ละสนุก และสุขแน่
==================================

คุณดินป่า จีวัน เล่าถึง ประวัติความเป็นมาของโครงการ
สืบเนื่องจากเป็นการฉลองครบ 100 ปีชาตกาล พุทธทาสภิกขุ
และจากคำสนทนาในปี พ.ศ. 2487 ระหว่าง พณฯ ท่านปรีดี พนมยงค์ กับ ท่านพุทธทาส
ที่ได้สนทนากันสามวันสามคืน โดยมีประเด็นเรื่องของ
การมีเพลงเพื่อใช้ในการเผยแพร่พระพุทธศาสนา
ที่เป็นความบันเทิงอันเต็มไปด้วยรสแห่งธรรม Spiritual entertainment
ด้วยความศรัทธา จึงได้ทำเพลงในแนวทางนี้ขึ้นร่วมกับศิลปินอีกหลายชีวิต
โดยใช้เวลา 16 เดือนเต็มในการสร้างสรรค์

"หลายคนอาจพูดกันว่านี่เป็นเพลงทางเลือก เราอยากบอกว่านี่ไม่ใช่เพลงทางเลือก แต่เป็นเพลงทางรอด"
คุณดินป่าจีวันทิ้งท้าย


ในงานต่อด้วยการแสดงจินตลีลาประกอบบทเพลงอันสวยงาม
ของคุณมานพ มีจำรัส ที่สกดคนดูชั่วครู่ด้วยความอ้อนช้อยที่ผสานกับความแข็งแกร่งของผู้เต้น
ต่อด้วยการแสดงดนตรีที่ซึ่งหยิบเอาบทเพลงในทั้งสามอัลบั้มออกมาโชว์กัน
บรรเลงโดยวงจีวัน และศิลปินรับเชิญหลายท่าน

เพลง ชลุ่ยกับไม้ไผ่ ที่เชิญคุณเนาวรัตน์ พงษ์ ไพบูลย์ ออกมาขับกลอน
ประกอบเสียงขลุ่ยของอาจารย์ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี

ด้วยเนื้อหาและดนตรีที่สอดคล้องเข้ากันอย่างลงตัว
ดุจสายน้ำไหลเย็นเชี่ยวกับหมู่ปลาที่แหวกว่าย
ทำให้ตลอดการแสดงทำเอาผมขนลุกอยู่ตรงนั้นเลยทีเดียว

"เพราะเหลือเกิน"ในใจคิด

การแสดงพิณแก้วของ อ.ทวีพงษ์ ทวีศักดิ์ กับวงจีวันได้สร้างน้ำเสียงที่สะกดใจอีกครั้งหนึ่ง
ยิ่งได้ทราบว่าท่านเป็นคาธอลิกยิ่งทำให้การแสดงครั้งนี้เป็นสากลทางศาสนาและสังคมโดย
มีดนตรีเป็นเครื่องมือ หลังจากแสดงจบท่านยังได้บอกถึงสาเหตุที่มาร่วมงานระหว่างศาสนาครั้งนี้ว่า
"กำแพงมีเยอะแล้ว ผมอยากเป็นสะพานบ้าง"

================================

เสียงพิณแก้วนั้นเข้าใกล้เสียงสำเนียง spiritual entertainment ที่ผมเองคิดไว้ในใจอย่างมาก
เพราะเป็นระดับเสียงที่สูง และมีความโหยหวนแทรกซึมอยู่ในท่วงที
การเล่นนั้นต้องอาศัยความชำนาญ ใช้นิ้วชี้ นิ้วโป้งที่เปียกน้ำพอประมาณ
วาดเป็นวงไปตามขอบแก้วไวน์ ยิ่งวาดวงกว้างเท่าไหร่เสียงก็จะยืดยาวมากขึ้นเท่านั้น
ที่สำคัญทำนองที่ไพเราะขนาดนี้ อ.บอกหลังเล่นว่า

"มันคือการอิมโพรไวซ์ หลังจากได้อ่านคำสอนของท่านบทหนึ่ง"

โอ้ว...นี่แหละการเล่นโดยไม่คำนึงถึงอดีตหรืออนาคต แต่คือปัจจุบันและเป็นแรงกระทบจากอารมณ์ภายในล้วนๆ

อันที่จริงเพลงที่ได้ฟังในงานส่วนใหญ่จะเป็นการเน้นที่เนื้อหาของคำร้อง คำกลอน ที่ดัดแปลงหรือยกมาจากคำสอน
โดยมีดนตรีแขนงต่างๆเป็นแบคอัพ ผู้ฟังจะรับฟังเนื้อเพลงและซึมซับเอาคำสอนไปในขณะที่ใช้ดนตรีเป็นเครื่องช่วยย่อย
แต่การใช้ดนตรีเพื่อศาสนาล้วนๆนั้นคือสิ่งที่ผมอยากเห็นเป็นที่สุด การคิดตั้งแต่เครื่องดนตรีใดที่เหมาะแก่การใช้ คีย์ไหน
จังหวะเร็วช้าอย่างไร เสียงร้อง
เพราะเป็นเรื่องที่ต้องเข้าถึงจิตจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนได้อีกมาก
แน่นอนนี่คือการเริ่มต้น และเป็นแรงขับเคลื่อนเล็กๆที่กำลังเพิ่มทีละเล็กละน้อย
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ในอนาคตอาจจะมี ดนตรีแนว พุทธ ออกมาให้ได้ฟังกัน
แล้ววันนั้นสังคมจะเลือก
แต่เราจะรอดถึงวันนั้นไหม ใครจะรู้
===========================================
ผมออกเดินงานหนังสือ ดีใจกับคนที่มีหัวจิตหัวใจรักการอ่านเดินกันขวักไขว่
ทางเดินที่กว้างขวางดูแคบไปถนัดตา

สิ่งดีๆมารวมกันอยู่ที่นี่สองสิ่ง พร้อมๆกันในวันนี้
มันอาจดูเนืองแน่น และน่าชื่นชม
แต่ก็เป็นเพียงจุดที่เล็กที่สุดที่เกิดขึ้นในบ้านเกิดของผม
ผมฉุกคิดถึงคำพูดของ อ.
"กำแพงมีเยอะแล้ว สะพาน "

ถ้าไม่มีกำแพง
จุดที่เล็กก็จะขยายใหญ่ไม่มีหมดสิ้น


แต่ในเมื่อกำแพงยังมี
เพลง หนังสือ ดนตรี ก็คือ สะพานดีๆนี่เอง

4 comments:

goldfish said...

เสียดายจังไปถึงก้อสายไปซะแล้วเลยอดดูคอนเสริตแนวพุทธๆแหวกแนวที่ว่า แต่จริงที่ว่างานหนังสือคนเยอะแต่กลับไม่ทำให้หงุดหงิด สนุกและดีใจที่มีคนอ่านกันเยอะๆเนอะว่าม่ะ (แม้ว่าคราวนี้ข้าพเจ้าจะเน้นซื้อการ์ตูนและวรรณกรรมก้อตาม555)

=jo said...

เป็นที่เดียวที่ยอมให้คนเยอะ

ไม่เหมือนร้านเหล้า
คนยิ่งน้อยยิ่งชอบ

Ninging said...

โอ้วววว อ่านแล้วอยากไปดูมากมายมหาศาล

เพนกวิน said...

ต้อนรับน้องใหม่ที่มีจิตอยู่ในปัจจุบันขณะ
แอบอู้ไม่ไปงานเพราะมัวสนใจหนังสือแนวเบา ๆ ย่อยง่าย ๆ
สำหรับงานนี้เพราะมีของย่อยยากอยู่เต็มกะเพาะแล้วน้องเอ๋ย