Monday, September 08, 2008

หวานชัววัน



บ่ายแก่ๆของเย็นวันนั้น อากาศกำลังพอดีๆ แสงแดดเอียงเอนลอดผ่านแมกไม้ ลมเพลินชักชวนใบไม้แห้งให้ผละกิ่ง ร่วงโรยเป็นระยะๆ
ฉันกำลังเดินไปสู่หอสวดมนต์ วันนี้เป็นวันที่ปลอดโปร่งจึงไปก่อนเวลาสักหน่อย เผื่อเวลาในการเดินเปลือยเท้า จงกรมบนพื้นหญ้า สัมผัสแผ่นดินแม่ที่ทำให้เราได้ยืน เดินมาจนโตขนาดนี้ อันที่จริงเราเกิดบนโลกแต่หาเวลาได้สัมผัสโลกกันจริงๆน้อยเหลือเกิน ทางเดินเลาะเลียบไปตามหมู่ไม้ ผิวพื้นทางเดินถูกประพรมไปด้วยสีขาวนวลประไพของดอกปีบ ที่ร่วงอยู่เป็นประจำ แต่วันนี้ฉันรู้สึกว่าเธอร่วงลงมามากกว่าทุกๆวัน หรือว่าวันนี้เรามีเวลาเหลือเฟือที่จะแลเห็นเธอกว่าทุกวันก็ไม่ทราบได้ นอกจากนั้นเจ้าปีบยังโชย กลิ่นหอมเย็นแบบไทยๆ อบอวลไปทั่วบริเวณทีเดียว มิวายทำให้กลิ่นดอกแก้วที่เคยเป็นพระเอก ต้องสวมบทพระรองไปในทันที

ฉันหยุดยืนพินิจดูเป็นพิเศษ เหมือนมองหาเพื่อเกลอในกองดอกไม้ บางดอกตกลงมานอนอยู่เดี่ยวๆ บางดอกโดดร่มลงมากันเป็นก๊ก แต่ดูนั่นซิ ที่ข้างๆเท้าของฉันเอง มีดอกปีปคู่หนึ่งที่วางกาย แอบอิงพาดพิงกันราวกับคู่รัก
“หวานชั่ววัน” วลีนี้ผุดขึ้นในใจ

ชีวิตของคนเราหนึ่งๆนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว บางวันผ่านไปช้า บางคราผ่านไปเร็ว แต่ที่แน่นนอนก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลง ดุจแม่น้ำที่ไหลอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเราหลับหรือตื่น แม่น้ำก็คงทำงานต่อไป เมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องดำเนินชีวิต สุดแท้แต่คลองธรรมของแต่ละผู้
เป็นปกติของมนุษย์ที่เมื่อเติบโตขึ้น ย่อมยินดีต่อการมีความรัก มีคนรัก เพื่อนใจ คู่ครอง คู่ชีวิต
การมีความรักทำให้ทุกสิ่งสดชื่นเบิกบาน ดูคล่องแคล่วร่าเริง ปลอดโปร่ง นำมาซึ่งความสุข
แต่ฉไนเล่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์
นั่นเพราะความรักมักเกิดจากความต้องการของตัวเราเป็นใหญ่ เราอยากมีความรัก มากกว่าที่จะให้ความรักกัน หากความรักของคู่ไหนปราศจากความตระหนักรู้และเข้าใจความจริง ดำเนินไปด้วยปัญญา ย่อมนำมาซึ่งความทุกข์ ความเศร้าโศกพิรี้พิไรรำพันในภายหลัง ดอกไม้สีสดสวยกลิ่นละมุน เด็ดมาดอม ประคองประดับไว้เชยชม วันแรกก็หอมดีแต่นานไปกลับเหี่ยวเฉา ไม่มีใครอยากถือหรือแม้จะชายตามอง มีพุทธภาษิตตรัสว่า
“อย่าติดในสิ่งที่เรารักหรือไม่รัก
การพลัดพรากจากสิ่งที่เรารักเป็นทุกข์
การพบเห็นแต่สิ่งที่ไม่รัก ก็เป็นทุกข์
เพราะฉะนั้น ไม่ควรรักสิ่งใด เพราะพลัดพรากจากของรัก เป็นทุกข์
ผู้ที่หมดจากความรักและไม่รักแล้ว
เครื่องผูกพัน ก็พลอยหมดไปด้วย”

ความรักและเมตตาเป็นสิ่งประเสริฐ ถ้าเราไม่ยึดติด และแยกห่างจากภาวะแห่งผู้รักและผู้ถูกรัก แต่หากเผลอไป ความทุกข์ร้อนก็จะตามติดเป็นเงา ส่วนความรักที่บ่มเพาะจากความเข้าใจ ความจริงใจ ความรักจากการให้อย่างไม่มีข้อแม้ บนครรลองแห่งความจริงของชีวิตต่างหาก ที่จะสร้างความงดงามให้แก่กันและกัน ดั่งดอกไม้งามที่ติดต้น ดอมดมมองดู แต่ไม่เด็ดมายึดมาถือ หมั่นรดน้ำใส่ปุ๋ย จะงามก็ดี เหี่ยวเฉาก็ดี นั่งมองสบายเพราะรู้แน่แก่ใจว่ามันเป็นอย่างนั้นเอง
เรื่องของความรักนี้พอจะมีตัวอย่างมาเล่าสู่กันฟังบ้าง
1 นกุลมารดาและนกุลบิดา คือคู่อุบาสกอุบาสิกา ในสมัยพุทธกาล ตัวอย่างของความรักที่ยั่งยืนยาวนาน ทั้งคู่เป็นคู่รักกันมาหลายชาติ ในจำนวนนั้นมีหลายร้อยชาติที่ได้เกิดเป็นบิดาและมารดาของพระโพธิสัตว์ ทั้งคู่แต่งงานอยู่กินตั้งแต่หนุ่มแต่สาวตามประเพณีของชาวชมพูทวีปสมัยนั้น นับแต่ครานั้นล่วงผ่านมาจนถึงวัยชราก็ไม่เคยมีสักครั้งที่ทั้งสองจะคิดนอกใจกัน วันหนึ่งทั้งสองได้มาเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ เภสกฬามฤคทายวัน ป่าใกล้บ้านสุงสุมารคีระ แคว้นภัคคะ กราบทูลถึงความซื่อสัตว์ในความรักที่มีให้กันตลอดมา และปรารถนาจะใช้ชีวิตร่วมกันทั้งชีวิตที่เหลืออยู่นี้และในภายภาคหน้าทุกชาติไป
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรคฤหบดีและคฤหปตานี ถ้าภรรยาและสามีทั้งสอง หวังจะพบกันและกันทั้งในปัจจุบันทั้งในภพหน้าแล้ว ทั้งสองเทียวพึงเป็นผู้มีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีจาคะ(ทาน)เสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน ภรรยาและสามีทั้งสองนั้น ย่อมได้พบกันและกันทั้งในภพนี้และภพหน้า
ภาษิตนี้คือ ธรรมะ(สมชีวิธรรม ๔)ที่จะทำให้ชีวิตคู่ ชีวิตรัก สมดุลและกลมกลืน อยู่ครองรักกันยาวนาน คู่รักควรที่จะมีความเชื่อความศรัทธาในสิ่งที่คล้ายหรือเหมือนๆกันและในระดับเสมอกัน ไม่ควรศรัทธาในสิ่งที่ขัดแย้ง เพราะจะนำมาซึ่งการไม่เข้าใจกัน มีศีลพอๆกัน ถ้าคู่รักต่างมีศีล๕ หรือข้อฝึกสติทั้ง๕ ที่สมบูรณ์สม่ำเสมอย่อมไร้ซึ่งการเบียดเบียนกัน มีแต่ความเกื้อกูลกันและกัน เจรจาด้วยเมตตาจิต คู่รักคู่ใดร่วมมือกันสั่งสมความดีด้วยการให้ทานเพื่อขัดเกลาจิตใจ ขัดเอาความโลภ ความตระหนี่ให้เบาบาง เพิ่มพื้นที่ให้ความเบิกบานใจ ย่อมทำให้การอยู่ร่วมกันเป็นไปอย่างสวัสดี และสุดท้ายไขประตูใจ เปิดโอกาสให้แสดงความรักแก่คนรอบข้างร่วมกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันด้วยปัญญา ด้วยความตระหนักรู้อย่างลึกซึ้งและแท้จริง จับมือกันทำความเข้าใจชีวิต เริ่มจากตัวเอง สู่คนรัก เผื่อแผ่ไปให้คนรอบข้างตลอดจนสรรพชีวิตในธรรมชาติ อันจะนำมาซึ่งความงดงาม ผาสุกตลอดไป หากคู่ไหนมีชีวิตคู่ที่สมดุลเช่นนี้ย่อมทำให้ความรักของเขาราบรื่น ไม่เพียงแค่ชีวิตนี้เท่านั้น แต่ทุกภพทุกชาติไป เฉกเช่นเดียวกับ นกุลบิดาและนกุลมารดาที่นำคำสอนนี้ไปใช้ตราบชั่วชีวิต ภายหลัง ทั้งคู่ก็สำเร็จเป็นพระโสดาบัน และนอกจากนั้นพระพุทธเจ้าทรงยกย่องทั้งสอง ให้เป็นผู้เป็นเลิศกว่าอุบาสก อุบาสิกา ทั้งหลายในด้านเป็นผู้มีความสนิทคุ้นเคยกับพระองค์อีกด้วย
ถ้ามีปัญญา ความรักก็นำมาซึ่งความสุขได้
อาหารและน้ำทำให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้ ฉันใด ความรักความเมตตา ก็หล่อเลี้ยงให้โลกดำรงอยู่ต่อไปได้ ฉันนั้น เราควรใช้ความรักที่มี แปลงเป็นพลังบริสุทธิ์ เพื่อความสุขของคนที่เรารัก เพื่อความสุขของผู้อื่นรวมทั้งสังคมและแม้กระทั่งคนที่เราไม่ชอบเลยก็ตาม เราก็ควรจะมอบความรักแก่เขาด้วย รักในการให้อภัย รักที่เราต่างก็เกิดมาร่วมโลกเดียวกัน ถ้าทำได้อย่างนี้จิตใจเราย่อมแผ่กว้างมหาศาล ไกลออกไปอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว เราจะไม่มีวันอ้างว้าง ว้าเหว่ เหงาใจ ไขว่คว้าหาใครคนนั้น ใครสักคนที่ยังไม่สักที เพราะเราสามารถจะรักทุกๆคน ทุกๆสิ่ง ทุกๆที่ เรารักที่จะให้ความรัก ไม่ได้รักเพราะอยากได้ความรัก เมื่อได้สัมผัสกับความรักอย่างที่ว่านี้เราจะพบว่าโลกใบนี้ช่างแสนกว้างใหญ่ เราซึ่งเป็นเพียงคนตัวเล็กจิ๋วนี่ล่ะ แต่สามารถโอบกอดรอบรัดโลกใบนี้ไว้แนบสนิทใจ อย่างเบิกบาน เพราะอะไรละหรือ ก็ความรักที่หมั่นรดน้ำใส่ปุ๋ยอยู่ทุกวี่ทุกวันนี่ไงล่ะ

“หวานชั่ววัน”
อีกไม่นานคู่ดอกปีบนี้ก็ต้องเหี่ยวเฉาไป แต่เธอยังผ่องใสหมดจด เธอคงเข้าใจแล้วซิว่า ชีวิตรักแสนสั้นแต่ความรักนั้นนิรันดร์ ส่วนฉันเล่า ก็ยังต้องพยายามต่อไป
ฉันนั่งยองเมียงมองเจ้าปีบคู่แล้วก็คิดไปไกล เสียงระฆังแว่วมาสะกิดเตือนเวลา ดอกไม้ ใบไม้ อีกหลายดอกหลายใบยังคงร่วงมาไม่ขาดสาย และคงจะเป็นอย่างนี้ไปอีกนานเทียว ฉันผลุดลุกขึ้นยืน แดดคล้อยแล้ว แต่กลิ่นหอมยังกรุ่นในจิตใจ คงเป็นผลของความงามจากพลังของความรักที่แสนดี ปีบเอ๋ยพรุ่งนี้เราคงไม่พบกันอีก ขอบคุณเจ้าดอกปีบทั้งสองที่สอนฉัน แม้จะเป็นเวลาน้อยนิดที่เธอและฉันได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ได้หวานเพียงชั่ววันแต่ก็เป็นเวลาที่มีค่าสำหรับคนอย่างฉันจริงๆ

........................................................
1 พระไตรปิฏก,พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๓ อังคุตรนิกาย จตุกกนิบาต,หน้าที่ ๖๑

1 comment:

Aor Sutthiprapha said...

อิ่ม