Thursday, November 27, 2008

ต่อโทที่วัด ๑. ความเป็นมา

ผมมีความสนใจและศรัทธาในพุทธศาสนาตั้งแต่เด็กๆ รู้สึกลึกๆในใจเสมอว่าพุทธศาสนานั้นเป็นสิ่งที่น่าสนใจ มีหลายแง่หลายมุมที่น่าศึกษา สิ่งหนึ่งที่เป็นเหตุปัจจัย เพราะป๊าและ คุณแม่เป็นคนสนใจธรรมะ ทั้งการฟังธรรม อ่านหนังสือ หรือการเข้าอบรมปฏิบัติกรรมฐาน รวมทั้งการทำบุญในงานต่างๆมิได้ขาด ในขณะที่ชีวิตการงาน ก็ทำด้วยความซื่อสัตว์ หวังดีกับคนรอบข้างและชาติบ้านเมืองอยู่เป็นนิสัย ซึ่งเป็นสิ่งมีค่าที่เด็กอย่างผมได้ซีมซับ และรู้สึกเสมอว่าเรานั้นโชคดีที่เป็นลูกท่าน สิ่งดีงามที่ท่านได้มอบให้เป็นมรดกนี้ เลอค่ากว่าทรัพย์สินใดๆ
อีกส่วนหนึ่งที่เห็นว่าอาจจะสำคัญไม่แพ้กันคือ บ้านเกิดผมเต็มไปด้วยวัดและพระ ทั้งพระภิกษุสามเณร และพระพุทธรูปทุกขนาดทุกรูปแบบ รวมทั้งอัฐบริขารต่างๆ อีกทั้งศาลเจ้าใหญ่ และโบสถ์พราหมณ์ ทำให้ผมต้องเดิน วิ่ง ขี่จักยานผ่านอยู่ทุกวี่ทุกวัน จนมีเพื่อนหลายคนบอกผมว่า หน้าเหมือนพระพุทธรูป เข้าไปทุกที แต่ความคุ้นเคยเหล่านี้กลับเป็นเครื่องกระตุ้นความสงสัยในใจอยู่เสมอว่า ศาสนาที่เรานับถือนั้นไม่ได้มีแค่สิ่งเหล่านี้แน่ๆ ต้องมีอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้น!

สำหรับผมเองได้มีโอกาสสัมผัสศาสนาจริงจังมากขึ้น เมื่อป๊าแม่สมัครให้ปฏิบัติธรรมที่ยุวพุทธิกสมาคม
ซึ่งเป็นครั้งแรกกับการเข้ากรรมฐาน แม้ว่าจะห้ามเด็กทะโมนอย่างผมพูดคุย แต่ให้นั่งๆ เดินๆ เงียบๆอยู่ทั้งสัปดาห์ผมก็กลับมีความรู้สึกว่ามีความสุขมากจริงๆ อาจจะมากพอกับการได้วาดรูป (ผมชอบวาดรูปมาก) เพราะนอกจากกระดาษกับดินสอแล้วก็คงมีแต่การมีเจริญสติเท่านั้น ที่ทำให้ผมสงบได้
ชีวิตเด็กชายจนเป็นนายที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร เป็นนักเรียนเรียนดีที่ไม่ดีมาก ทำกิจกรรมแต่ไม่ทำมาก และอะไรอีกหลายๆอย่าง ที่ผ่านไปด้วยความสนุกแบบเด็กหนุ่มธรรมดาๆ ชีวิตเคลื่อนคล้อยไปตามครรลองของการเรียนตามแบบฉบับคนทั่วไปจนกระทั่งเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยในที่สุด

การเรียนในมหาวิทยาลัยก็เป็นบันไดหนึ่งที่ผมได้เข้าใจชีวิตตัวเองมากขึ้น เมื่อเข้าใจมากขึ้นก็ย่อมเข้าใจผู้อื่นมากขึ้นไปด้วย การได้พบปะกับคนหลากหลายโดยเฉพาะผู้หญิง ที่ไม่เคยได้ร่วมเรียนมาก่อนก็เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่ทำให้ชีวิตมีสีสันมากขึ้น การทำกิจกรรมทำให้เราเติบโตอย่างมาก และถึงบัดนี้ยังรู้สึกว่าช่วงเวลาแห่งอุดมศึกษเป็นช่วงชีวิตที่น่าสนใจช่วงหนึ่งทีเดียว

แต่ช่วงเวลาดังกล่าวดูเหมือนว่าจะห่างไกลจะศาสนาโดยตรงไปพอสมควร มีแต่การศึกษาโดยอ้อมของหลักชีวิต ทั้งจากหนังสือ จากการเรียนรู้จากคนอื่นและตนเอง อันที่จริงแล้วก็มีความต้องการออกบวชในช่วงปิดภาคเรียนเสมอ แต่ก็หลีกหนีภาระที่มีอยู่ไม่ได้เสียที หลังจากจบการศึกษา หมดภาระแล้วก็เตรียมตัวบวชได้สมใจ
แต่เจ้ากรรมวัดที่ผมประสงค์จะบวชนั้น ต้องสมัครเข้าคิวรอกันนาน บางคนรอกันเป็นปี ส่วนตัวผมนั้น รออยู่ปีกว่า ถึงจะได้บวชสมใจ แต่เมื่อคิดย้อนกลับไปก็เหมือนเป็นธรรมจัดสรร เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวที่ได้ทำงานและท่องเที่ยว กลับกลายเป็นช่วงที่เป็นรากฐานให้การศึกษาพระธรรมนั้นเข้มข้นขึ้นอย่างมาก
จากความตั้งใจเดิมที่จะใช้เวลาเพียง ๑-๓ เดือน เพื่ออกมาเตรียมตัวเรียนต่อในสาขาที่ตั้งใจไว้ต่อไป แต่ด้วยความสุขและความดีงามที่เกิดขึ้นในจิตใจ ทำให้ผมอยู่ที่นั่นยาวนานจนกลายเป็น สองพรรษา และทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนกับว่า ได้มาเรียนต่อ “ปริญญาโท” ที่วัด ที่ไม่ว่ามหาวิทยาลัยไหนก็สอนกันไม่ได้ ผมรู้สึกซาบซึ้งในคุณพระรัตนตรัยอย่างยิ่ง ที่ได้มอบปัญญา และขอบคุณญาติมิตรที่ออกทุนเล่าเรียนให้โดยไม่มีข้อผูกมัดใดๆเลย จนทำให้ผมต้องตั้งใจเรียนให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

ณ ขณะที่ผมพิมพ์อยู่นี้ ผมเองได้ลาสิกขามาอยู่ในเพศเดิมแล้ว และหลังจากที่ได้พบปะพูดคุยกับ ครูอาจารย์ ญาติมิตรและเพื่อนฝูง มีคำถามอยู่สองคำถามที่ถูกถามบ่อยที่สุด คือ “ได้อะไรบ้าง” กับ “จะทำอะไรต่อ” ซึ่งผมก็ตอบกับทุกคนอย่างเต็มใจ และยินดียิ่ง คำถามแรกเป็นคำถามที่ยาวแต่ตอบง่าย แต่คำถามหลังเป็นนั้นตอบสั้นแต่ยาก อย่างไรก็ตามผมก็จะพยายามตอบคำถามยาวๆและสั้นๆให้ทุกๆคนได้อ่านกัน เผื่อจะเป็นความรู้ ความเข้าใจและแรงบันดาลใจให้กับใครคนใดคนหนึ่งในโลกนี้ก็ได้
เพราะแม้จะเป็นเพียงคนเดียวผมก็ถือว่าผมได้ทำสิ่งที่ต้องทำสมบูรณ์แล้ว

1 comment:

Unknown said...

มารอฟังตอนต่อไปนะ :)